ช็อค ! พบหุ้นไทย 20 บริษัทขาดทุนต่อเนื่องกว่า 7 ปี คิดเป็นยอดสะสมรวมกว่า 2.85 หมื่นล้านบาท ทิ้งรายย่อยทั้งติดดอยและไร้ปันผลกว่า 1.16 แสนคน ส่วนใหญ่เคยเปลี่ยนทั้งชื่อเต็ม-ชื่อย่อ-โครงสร้างธุรกิจ-ผู้ถือหุ้น แต่ก็ยังไม่ฟื้นเช่นเคย ส่วนราคาหุ้นไม่ต้องพูดถึงตั้งแต่ปี 62-68 สุดสวิง แต่ล่าสุดติดลบเรียบ แถมเกิน 90% เพียบ
 

*** 20 บริษัทขาดทุนต่อเนื่องเกือบ 7 ปี สะสมรวมกว่า 2.85 หมื่นล้านบาท

"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" สำรวจผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) พบว่ามีถึง 20 บริษัทที่ขาดทุนต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 จนถึงงวด 9 เดือนปี 68 โดยกลุ่มบริษัทเหล่านี้มีผลขาดทุนสะสมรวมถึง 2.85 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย
 

หุ้นกลุ่มนี้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) รวม 12 บริษัท ที่เหลือจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยอุตสาหกรรมที่ติดโผมากสุดคือกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์

*** ราคาหุ้นสุดสวิง ส่วนใหญ่มีช่วงพีกพุ่งแรง แต่หมดรอบกันเรียบ

ด้านราคาหุ้นค่อนข้างจะผันผวนเกือบทุกบริษัท โดยหากเทียบราคาล่าสุดกับราคาสูงสุดในรอบ 7 ปีหลัง ปรากฏว่าลดลงหนักระดับ 42-99% ซึ่งมีถึง 16 บริษัทที่ลดลงมากกว่า 90%

ขณะที่เมื่อเทียบราคาล่าสุดกับราคาปิดสิ้นปี 61 เกือบทั้งหมดก็ยังยืนในแดนลบ 17-93% ส่วนผลตอบแทนราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี (YTD) ส่วนใหญ่ก็ติดลบ 2-93% โดยมีรายละเอียดดังนี้
 

ไฮไลต์สำคัญมีหลายบริษัทที่ราคาเคลื่อนไหวร้อนแรงในบางช่วงก่อนดิ่งพสุธากลับคืนสู่จุดที่ควรจะเป็น ประกอบด้วย

- BYD ช่วงปี 64-65 สร้างตำนานหุ้น 47 เด้ง โดยราคาหุ้นเคยบวกสูงสุดถึง 4,727% ราคาปิดปี 63 ที่ 0.33 บาท ขึ้นไปทำไฮ 15.93 บาทในปี 65 ก่อนจะหมดรอบและลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเหลือเพียง 0.53 บาท แม้จะเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับราคาปิดปี 61 ที่ 0.53 บาท แต่หากเทียบกับระดับสถิติที่ขึ้นไป 15.93 บาท เท่ากับลดลงถึง 97% ส่วน YTD ติดลบ 35%

- - HEALTH ช่วงปี 62-64 เคยขึ้นไปสูงสุด 1,634% ราคาปิดปี 61 ที่ 0.61 บาท ขึ้นทำไฮ 10.58 บาทเมื่อปี 64 และหมดแรงเช่นเคย ล่าสุดเหลือ 0.50 บาท

- ARIN ช่วงปี 64-65 เคยบวกสูงสุด 867% ราคาปิดปี 63 ที่ 0.77 บาท จากนั้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องไปทำไฮ 7.45 บาทเมื่อปี 65 หลังจากนั้นก็หมดรอบ ล่าสุดอยู่ที่ 0.63 บาท

- XBIO ช่วงปี 63-64 เคยบวกสูงสุด 819% ราคาปิดปี 62 ที่ 1.70 บา ขึ้นไปทำไฮถึง 15.62 บาทในปี 64 ล่าสุดเหลือ 0.12 บาท

- TRC ช่วงปี 64-66 เคยบวกสูงสุด 792% ราคาปิดปี 63 ที่ 1.07 บาท ขึ้นไปทำไฮ 9.54 บาท ในปี 66 ล่าสุดเหลือ 0.39 บาท -69%YTD

- DIMET ปี 64 เคยขึ้นไปสูงสุด 700% ราคาปิดปี 63 ที่ 0.11 บาท ระหว่างปี 64 ขึ้นไปทำไฮ 0.88 บาท ล่าสุดเทรดราคาต่ำสุดรอบ 7 ปี ที่ 0.05 บาท

- AJA ปี 64 เคยบวกสูงสุดถึง 600% ราคาปิด 63 ที่ 0.12 บาท แต่ระหว่างปี 64 ขึ้นไปทำไฮ 0.84 บาท ล่าสุด 2 ธ.ค.68 อยู่ที่ 0.19 บาท

- STELLA ช่วงปี 64-65 เคยบวกสูงสุด 531% ราคาปิดปี 63 ที่ 0.29 บาท ขึ้นทำไฮ 1.83 บาท เมื่อปี 65 ล่าสุดเหลือ 0.18 บาท

- STOWER ช่วงปี 63-64 เคยบวกสูงสุด 475% ราคาปิดปี 62 ที่ 0.20 บาท ขึ้นทำไฮ 1.15 บาท เมื่อปี 64 ล่าสุดเหลือ 0.04 บาท

- B52 ช่วงปี 63-64 เคยบวกสูงสุด 359% ราคาปิดปี 62 ที่ 0.71 บาท ขยับขึ้นไปไฮ 3.26 บาทเมื่อปี 64 จากนั้นลดลงต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 0.23 บาท

*** หลายบริษัทเปลี่ยนชื่อ-ธุรกิจ แต่ยังขาดทุนเหมือนเดิม

ขณะเดียวกันพบว่าหลายบริษัทมีการเปลี่ยนชื่อบริษัท ชื่อย่อหุ้น รวมถึงมีการปรับโครงสร้างธุรกิจและผู้ถือหุ้น แต่ผลประกอบการยังขาดทุนเหมือนเดิม ประกอบด้วย

- AJA เปลี่ยนชื่อมาจาก บมจ.คราวน์ เทค แอดวานซ์ (AJD) 

- B52 เปลี่ยนชื่อมา 3 ครั้ง ไล่ตั้งแต่ บมจ.บางกอก ไนล่อน (BNC), บมจ.แอสเซท ไบร์ท (ABC) และ บมจ.ดิจิตอลเทค แพลนเน็ต (DIGI)

- BGT เปลี่ยนชื่อบริษัทมาจาก บมจ.บอดี้ โกลฟ (ประเทศไทย) เป็น บมจ.บีจีที คอร์ปอเรชั่น โดยยังใช้ชื่อย่อเดิม

- BYD เปลี่ยนชื่อมาจาก บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี (AEC)

- GEL เปลี่ยนแค่ชื่อย่อหลักทรัพย์มาจาก GEN 

- GRAND เปลี่ยนชื่อบริษัทมาจาก บมจ.แกรนด์ แอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ เป็น บมจ.แกรนด์ แอสเสท โฮเทล แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ โดยยังใช้ชื่อย่อเดิม

- HEALTH เปลี่ยนชื่อย่อหลักทรัพย์มาจาก HEMP และก่อนหน้านี้เคยเปลี่ยนชื่อมาจาก บมจ.เอ็มพีจี คอร์ปอเรชั่น (MPG) 

- KC เปลี่ยนชื่อมาจาก บมจ.โมเดิร์นโฮม ดิเวลอปเม้นท์ (MHOME) 

- META เปลี่ยนชื่อมาจาก บมจ.วินเทจ วิศวกรรม (VTE) 

- PPPM เปลี่ยนชื่อมาจาก บมจ.ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (TLUXE)

- QDC เปลี่ยนชื่อมาจาก บมจ.เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ (JCKH)

- STOWER เปลี่ยนชื่อมาจาก บมจ.บางกอกชีทเม็ททัล (BM) ซึ่งก่อนหน้านั้นเปลี่ยนชื่อย่อหุ้นมาจาก BMS 

- XBIO เปลี่ยนชื่อมาจาก บมจ.วาว แฟคเตอร์ (W) 

*** พบผู้ถือหุ้นรายย่อยรวมถึง 1.16 แสนราย 

เมื่อธุรกิจขาดทุนต่อเนื่องเป็นเวลานาน นอกจากราคาหุ้นที่ตอบสนองเชิงลบ หมายความว่าผู้ถือหุ้นจะไม่ได้รับเงินปันผลด้วย ซึ่ง 20 บริษัทกลุ่มนี้มีผู้ถือหุ้นรายย่อยรวมทั้งสิ้นกว่า 1.16 แสนราย

ทั้งนี้มีถึง 4 บริษัทที่มีรายย่อยถือหุ้นเกิน 1 หมื่นราย ประกอบด้วย AJA, BYD, STOWER และ GEL