
การปรับเปลี่ยนระบบคำนวณเงินบำนาญชราภาพของผู้ประกันตนกำลังจะเกิดขึ้นจริงในปี 2569 หลังจากที่คณะกรรมการประกันสังคมมีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่างกฎกระทรวงที่นำสูตรใหม่ชื่อว่า Pension Point CARE มาใช้แทนระบบเดิมที่ใช้มากกว่า 30 ปี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลต่อผู้ประกันตนทั้งมาตรา 33 และมาตรา 39 โดยจากการประเมินของสำนักงานประกันสังคม ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากสูตรใหม่มีประมาณ 570,000-800,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับเงินบำนาญไม่เป็นธรรมจากสูตรเดิม

สำหรับการปรับระบบในครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของประกันสังคมไทยในรอบหลายสิบปี โดยมุ่งเน้นให้ระบบมีความเป็นธรรมและสะท้อนรายได้ที่แท้จริงของผู้ประกันตนมากขึ้น แทนที่จะยึดเพียงค่าจ้างในช่วง 60 เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณอายุเหมือนเดิม ทั้งนี้สำนักงานประกันสังคมจะนำเสนอร่างกฎกระทรวงต่อรัฐมนตรีแรงงานและคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาก่อนประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา อย่างไรก็ตาม จากการประชุมคณะกรรมการประกันสังคมเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 แม้บอร์ดจะมีมติเห็นชอบแล้ว แต่ยังต้องผ่านกระบวนการยกร่างกฎกระทรวงและการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ซึ่งอาจไม่ทันมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2569 ตามเป้าหมายเดิม
ทำความเข้าใจสูตร CARE คืออะไร
CARE ย่อมาจาก Career-Average Revalued Earnings เป็นระบบคำนวณบำนาญที่นำค่าจ้างทุกเดือนที่ผู้ประกันตนส่งเงินสมทบตลอดอายุการทำงานมาคำนวณ โดยจะปรับค่าจ้างในอดีตให้เป็นมูลค่าเงินในปัจจุบันก่อนนำมาเฉลี่ย ซึ่งแตกต่างจากระบบเดิมที่คำนวณจากค่าจ้างเฉลี่ยเพียง 60 เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ
ความพิเศษของสูตรใหม่นี้อยู่ที่การใช้ระบบแต้มบำนาญ หรือ Pension Point ที่จะคำนวณให้กับผู้ประกันตนทุกเดือนที่ส่งเงินสมทบ โดยการเปรียบเทียบค่าจ้างที่ส่งสมทบในแต่ละเดือนกับค่าจ้างเฉลี่ยของผู้ประกันตนทั้งระบบในเดือนนั้น หากค่าจ้างของผู้ประกันตนเท่ากับค่าจ้างเฉลี่ยของระบบจะได้แต้ม 1.00 แต่ถ้าสูงกว่าเฉลี่ยจะได้แต้มมากกว่า 1 และถ้าต่ำกว่าเฉลี่ยจะได้แต้มน้อยกว่า 1 ตามสัดส่วน
สูตรการคำนวณบำนาญใหม่จึงประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ อัตราบำนาญที่คิดเศษเดือนด้วย คูณกับแต้มบำนาญเฉลี่ยส่วนตัวตลอดการทำงาน และคูณกับค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายของผู้ประกันตนทั้งระบบ ณ วันที่เกิดสิทธิรับบำนาญ ซึ่งจะทำให้การคำนวณสะท้อนความเป็นจริงของรายได้มากขึ้น
ตารางสูตรคำนวณบำนาญปัจจุบัน
| สูตร | รายละเอียด |
| บำนาญรายเดือน | = อัตราบำนาญ × ค่าจ้างเฉลี่ย |
| อัตราบำนาญ | เริ่มต้น 20% และปรับเพิ่ม 1.5% ต่อปีที่ส่งเงินสมทบเกิน 15 ปี |
| ข้อกำหนด | ค่าจ้างเฉลี่ยคำนวณจากค่าจ้าง 60 เดือนสุดท้าย (ที่ส่งเงินสมทบ มากกว่านั้นแจ้งค่าต่ำสุด 60) |
สำนักงานประกันสังคมได้ยกตัวอย่างการคำนวณแต้มบำนาญในช่วง 3 เดือน เพื่อให้ผู้ประกันตนเข้าใจระบบได้ชัดเจนขึ้น ในเดือนมิถุนายน หากผู้ประกันตนมีค่าจ้าง 11,706 บาท และค่าจ้างเฉลี่ยของระบบในเดือนนั้นก็อยู่ที่ 11,706 บาทเช่นกัน ผู้ประกันตนจะได้รับแต้มบำนาญเท่ากับ 1.00 พอดี
ในเดือนกรกฎาคม แม้ว่าค่าจ้างของผู้ประกันตนจะยังคงอยู่ที่ 11,706 บาท แต่ค่าจ้างเฉลี่ยของระบบในเดือนนั้นกลับเพิ่มขึ้นเป็น 11,938 บาท ส่งผลให้ผู้ประกันตนได้รับแต้มบำนาญเพียง 0.98 เท่านั้น แสดงให้เห็นว่าแม้รายได้ของตนเองไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าค่าจ้างเฉลี่ยของระบบเพิ่มขึ้น แต้มที่ได้รับก็จะลดลง
ในเดือนสิงหาคม หากผู้ประกันตนได้รับการขึ้นเงินเดือนเป็น 13,000 บาท ขณะที่ค่าจ้างเฉลี่ยของระบบอยู่ที่ 12,125 บาท ผู้ประกันตนจะได้รับแต้มบำนาญถึง 1.07 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย เมื่อนำแต้มทั้ง 3 เดือนมาเฉลี่ย จะได้แต้มบำนาญเฉลี่ยอยู่ที่ 1.02 และแต้มเหล่านี้จะสะสมตลอดการทำงานจนถึงวันเกษียณ
ตารางสูตรคำนวณบำนาญ CARE
| สูตร | รายละเอียด |
| บำนาญรายเดือน | = อัตราบำนาญ × ค่าจ้างเฉลี่ยที่ปรับเป็นค่าเงินปัจจุบัน |
| อัตราบำนาญ | 180 เดือนแรก 20% เดือนที่ 181 เป็นต้นไปเดิดอัตรา 0.125% |
| ค่าจ้างเฉลี่ย | ค่าจ้างที่นำส่งเงินสมทบทุกเดือนปรับเป็นค่าเงินปัจจุบัน |
ตัวอย่างการคำนวณให้เห็นภาพ
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ลองดูตัวอย่างจากข้อมูลจำลองที่ทางประกันสังคมได้เปิดเผยออกมา โดยสมมติเหตุการณ์รายได้ใน 3 เดือน ดังนี้:
เดือนมิถุนายน:
เดือนกรกฎาคม:
เดือนสิงหาคม:
เมื่อนำแต้มทั้ง 3 เดือนมาหาค่าเฉลี่ย จะอยู่ที่ 1.02 ซึ่งตัวเลขดัชนีนี้แหละครับที่จะเป็นตัวคูณสำคัญในการกำหนดรายรับยามเกษียณของคุณ ยิ่งคุณรักษาฐานเงินเดือนให้อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศได้สม่ำเสมอ บำนาญของคุณก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
ตารางตัวอย่างการคำนวณแต่นบำนาญ
| เดือน | ค่าจ้างประกันตนที่นำส่งหนวดบำนาญ (บาท) | ค่าจ้างเฉลี่ยของทุกคน (บาท) | แต้มบำนาญ |
| มิถุนายน | 11,706 | 11,706 | 1.00 |
| กรกฎาคม | 11,706 | 11,938 | 0.98 |
| สิงหาคม | 13,000 | 12,125 | 1.07 |

สำนักงานประกันสังคมได้ชี้แจงเหตุผลที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนระบบคำนวณบำนาญว่า สูตรเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2534 อาจไม่สะท้อนรายได้ที่แท้จริงของผู้ประกันตนอีกต่อไป เนื่องจากยึดเพียงค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งผู้ประกันตนบางรายมีรายได้ลดลงช่วงใกล้เกษียณอายุ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เปลี่ยนจากการเป็นลูกจ้างมาตรา 33 เป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 หรือกรณีที่ถูกลดเงินเดือนในช่วงท้ายอายุงาน ส่งผลให้เงินบำนาญที่ได้รับต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ระบบเดิมยังมีข้อจำกัดในเรื่องการไม่นับเศษเดือน เช่น ผู้ที่ส่งเงินสมทบมา 25 ปี 6 เดือน อัตราบำนาญก็จะคำนวณเพียง 25 ปี ทำให้ผู้ประกันตนเสียสิทธิในส่วนที่ส่งสมทบเกือบครบอีก 1 ปี นอกจากนี้ เพดานค่าจ้างที่ใช้คำนวณยังคงอยู่ที่ 15,000 บาทมาตั้งแต่ปี 2534 ซึ่งไม่สอดคล้องกับระดับค่าจ้างในปัจจุบันที่สูงขึ้นมาก
สูตรใหม่ CARE จึงถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยนำค่าจ้างทุกเดือนตลอดอายุการทำงานมาพิจารณา และปรับค่าเงินในอดีตให้เป็นมูลค่าปัจจุบันก่อนนำมาคำนวณ ทำให้สะท้อนรายได้จริงมากขึ้น รวมทั้งยังปรับให้นับเศษเดือนด้วย โดยคิดอัตราบำนาญเพิ่มขึ้นเดือนละ 0.125 เปอร์เซ็นต์ แทนที่จะคิดปีละ 1.5 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม
ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนสูตรคำนวณบำนาญ สำนักงานประกันสังคมยังได้มีแนวทางปรับเพิ่มเพดานค่าจ้างที่ใช้ในการคำนวณสิทธิประโยชน์แบบขั้นบันได เพื่อไม่ให้กระทบต่อนายจ้างและผู้ประกันตนมากเกินไป โดยจากเดิมที่อยู่ที่ 15,000 บาทมาตั้งแต่ปี 2534 จะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3 ระยะ
ในช่วงปี 2569 ถึง 2571 เพดานค่าจ้างจะปรับเป็น 17,500 บาท ผู้ประกันตนที่มีเงินเดือนสูงกว่าเพดานจะต้องจ่ายเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน จากเดิม 750 บาท ในช่วงปี 2572 ถึง 2574 เพดานค่าจ้างจะปรับเพิ่มเป็น 20,000 บาท โดยจ่ายเงินสมทบสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน และตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป เพดานค่าจ้างจะอยู่ที่ 23,000 บาท โดยผู้ประกันตนที่มีเงินเดือนสูงกว่าเพดานจะต้องจ่ายเงินสมทบสูงสุด 1,150 บาทต่อเดือน (5% ของ 23,000 บาท)
การปรับเพดานค่าจ้างครั้งนี้เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศที่แนะนำว่าเพดานค่าจ้างควรสูงกว่าค่าจ้างเฉลี่ยประมาณ 1.25 เท่า เพื่อให้การดูแลสิทธิประโยชน์มีความเพียงพอ โดยการปรับเพดานนี้จะส่งผลให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่อิงกับฐานเพดานค่าจ้างเพิ่มขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีว่างงาน หรือเงินสงเคราะห์บุตร
ผู้ประกันตนหลายกลุ่มจะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนมาใช้สูตร CARE โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกันตนมาตรา 39 ซึ่งมีจำนวนกว่า 1.6 ล้านราย กลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์มากที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่เคยส่งเงินสมทบในฐานะมาตรา 33 มานานกว่า 10 ปี ด้วยฐานค่าจ้างสูง แล้วจึงเปลี่ยนมาส่งในฐานะมาตรา 39 ในช่วง 5-6 ปีสุดท้ายด้วยฐานค่าจ้างที่ต่ำกว่า
จากข้อมูลตัวอย่างการคำนวณ ผู้ประกันตนที่เคยส่งฐาน 15,000 บาทในช่วงเป็นมาตรา 33 แล้วมาส่งฐาน 4,800 บาทในช่วง 6 ปีสุดท้ายในฐานะมาตรา 39 เมื่อคำนวณด้วยสูตรเดิมจะได้รับบำนาญประมาณ 1,750 บาทต่อเดือน แต่เมื่อคำนวณด้วยสูตร CARE จะได้รับเงินบำนาญเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4,789 บาทต่อเดือน หรือเพิ่มขึ้นถึง 173 เปอร์เซ็นต์
สำหรับผู้ที่กำลังรับบำนาญอยู่แล้วในปัจจุบัน สำนักงานประกันสังคมจะทำการคำนวณใหม่ให้โดยอัตโนมัติ หากคำนวณด้วยสูตร CARE แล้วได้รับบำนาญมากกว่าเดิม ก็จะปรับเพิ่มให้ทันที โดยเฉลี่ยจะเพิ่มจาก 2,949 บาทต่อเดือน เป็น 3,240 บาทต่อเดือน แต่ถ้าคำนวณแล้วได้น้อยกว่าเดิม ผู้รับบำนาญก็จะยังคงได้รับเงินบำนาญเท่าเดิม ไม่มีการลดลง
กลุ่มผู้ที่กำลังจะเกษียณอายุในช่วง 10 ปีข้างหน้าก็จะได้รับประโยชน์เช่นกัน โดยเงินบำนาญเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นจาก 4,095 บาทต่อเดือน เป็น 4,428 บาทต่อเดือน และเมื่อรวมกับเงินชดเชยในช่วงเปลี่ยนผ่าน จะได้รับเงินบำนาญรวมถึง 4,529 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ผู้ที่มีค่าจ้างผันผวนในแต่ละช่วงเวลาก็จะได้รับบำนาญที่สะท้อนรายได้จริงมากขึ้น เพราะระบบจะคำนวณจากทุกเดือนที่ส่งสมทบ ไม่ใช่เพียงแค่ 60 เดือนสุดท้าย
แม้ว่าสูตร CARE จะช่วยเพิ่มความเป็นธรรมให้กับผู้ประกันตนส่วนใหญ่ แต่ก็มีกลุ่มผู้ประกันตนบางส่วนประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ที่เมื่อคำนวณด้วยสูตรใหม่อาจได้รับเงินบำนาญน้อยกว่าสูตรเดิม กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีฐานเงินเดือนในอดีตน้อยมาก แต่กลับได้รับการขึ้นเงินเดือนก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีสุดท้ายก่อนเกษียณ ซึ่งในระบบเดิมจะได้ประโยชน์มากเพราะคำนวณจาก 60 เดือนสุดท้ายที่ค่าจ้างสูง
เพื่อไม่ให้ผู้ประกันตนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบ สำนักงานประกันสังคมจึงได้กำหนดมาตรการชดเชยในช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นเวลา 5 ปี สำหรับผู้ที่จะเกิดสิทธิรับบำนาญในปี 2569 ถึง 2573 โดยจะคำนวณบำนาญทั้งสูตรเดิมและสูตรใหม่ให้ หากสูตรเดิมได้มากกว่า ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญตามสูตร CARE บวกกับเงินชดเชยส่วนต่างด้วย
อัตราการชดเชยจะลดหลั่นกันไปในแต่ละปี โดยผู้ที่เกษียณในปี 2569 จะได้รับการชดเชยส่วนต่างเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ (หากสูตรเดิมได้มากกว่า) ผู้เกษียญปี 2570 จะได้ชดเชย 80 เปอร์เซ็นต์ของส่วนต่าง ผู้เกษียณปี 2571 จะได้ชดเชย 60 เปอร์เซ็นต์ของส่วนต่าง ผู้เกษียณปี 2572 จะได้ชดเชย 40 เปอร์เซ็นต์ของส่วนต่าง และผู้เกษียณปี 2573 จะได้ชดเชย 20 เปอร์เซ็นต์ของส่วนต่าง โดยเงินชดเชยนี้จะจ่ายให้ตลอดชีวิตของผู้รับบำนาญ โดยเงินชดเชยนี้จะจ่ายให้ตลอดชีวิตของผู้รับบำนาญ ไม่ใช่จ่ายชั่วคราว
ตัวอย่างเช่น หากผู้ที่เกษียณในปีที่ 2 หลังออกกฎหมาย คำนวณด้วยสูตรเดิมได้ 5,000 บาท แต่สูตรใหม่ได้เพียง 4,000 บาท ลดลง 1,000 บาท ผู้ประกันตนจะได้รับการชดเชย 80 เปอร์เซ็นต์ของส่วนต่าง คือ 800 บาท รวมเป็นเงินบำนาญที่ได้รับ 4,800 บาทต่อเดือน และจะได้รับเงินในอัตรานี้ตลอดชีวิต

สูตร Pension Point CARE มีข้อดีสำคัญหลายประการที่จะช่วยเพิ่มความเป็นธรรมและความมั่นคงให้กับผู้ประกันตน ประการแรกคือทำให้การคาดการณ์เงินบำนาญที่จะได้รับทำได้แม่นยำและชัดเจนมากขึ้น ผู้ประกันตนไม่ต้องเสี่ยงกับค่าจ้างที่อาจลดลงในช่วง 5 ปีสุดท้าย เพราะระบบจะคำนวณจากรายได้ตลอดอายุการทำงานที่ปรับเป็นค่าเงินปัจจุบันแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ 60 เดือนสุดท้าย
ประการที่สองคือระบบใหม่เพิ่มเงินบำนาญตามทุกเดือนที่ส่งสมทบ แทนที่จะคิดเป็นรายปีอย่างเดิม โดยปรับจากเดิมที่คิดปีละ 1.5 เปอร์เซ็นต์เป็นเดือนละ 0.125 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ที่ส่งเงินสมทบเกือบครบปีจะไม่เสียสิทธิอีกต่อไป เช่น ผู้ที่ส่งมา 25 ปี 11 เดือนจะได้รับอัตราบำนาญที่สูงกว่าผู้ที่ส่งมาแค่ 25 ปีพอดี
ประการที่สามคือผู้ที่กำลังรับบำนาญอยู่แล้วในปัจจุบันก็จะได้รับประโยชน์ทันที หากการคำนวณใหม่ทำให้บำนาญเพิ่มขึ้น ระบบจะปรับให้โดยอัตโนมัติตั้งแต่เดือนถัดไปหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ แต่ถ้าคำนวณแล้วได้น้อยกว่าเดิมก็จะคงได้รับเท่าเดิม ไม่มีการลดบำนาญลงแม้แต่บาทเดียว ซึ่งการันตีว่าไม่มีผู้รับบำนาญรายใดจะเสียประโยชน์
ประการที่สี่คือการปรับเพดานค่าจ้างให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยเริ่มต้นที่ 17,500 บาทในปี 2569 และจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น 23,000 บาทในปี 2575 ทำให้ผู้ที่มีเงินเดือนสูงจะได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมกับรายได้จริง ไม่ถูกจำกัดด้วยเพดาน 15,000 บาทที่ล้าสมัย
สรุป 5 จุดเด่นของสูตร Pension Point CARE
ก่อนที่สูตร CARE จะมีผลบังคับใช้จริง สำนักงานประกันสังคมได้เปิดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกันตนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างกว้างขวาง โดยเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมการประกันสังคมมีมติเห็นชอบให้นำสูตรใหม่ไปประชาพิจารณ์เป็นเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 1-30 สิงหาคม 2568 และเปิดรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมในช่วงวันที่ 1-17 ตุลาคม 2568 โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนทั้งมาตรา 33 และมาตรา 39 ได้แสดงความคิดเห็น
การประชุมรับฟังความคิดเห็นได้จัดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คนในแต่ละครั้ง หลังรับฟังคำชี้แจงเรื่องการปรับสูตรคำนวณบำนาญใหม่จากสำนักงานประกันสังคม ก็มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและผู้ที่ยังมีข้อกังวล โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้ประกันตนมาตรา 33 บางส่วน ซึ่งสำนักงานประกันสังคมได้ให้คำชี้แจงและตอบข้อกังวลต่างๆ อย่างละเอียด
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานประกันสังคมได้รับหนังสือแสดงข้อกังวลจากสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย ซึ่งห่วงว่าการใช้สูตร CARE อาจกระทบสิทธิของผู้ประกันตนมาตรา 33 สำนักงานประกันสังคมจึงได้ชี้แจงชัดเจนว่า สูตร CARE ไม่ทำให้ใครเสียสิทธิ แต่กลับเพิ่มความเป็นธรรม และทำให้ผู้ประกันตนคาดการณ์บำนาญได้ชัดเจนขึ้น พร้อมย้ำว่าทั้งสำนักงานประกันสังคมและสมาพันธ์แรงงานมีเป้าหมายเดียวกัน คือบำนาญที่เพียงพอ ยุติธรรม และยั่งยืน

การเปลี่ยนมาใช้สูตร CARE จะส่งผลดีต่อผู้ประกันตนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน เพราะจะได้รับความเป็นธรรมตั้งแต่เดือนแรกที่ส่งเงินสมทบ ทุกเดือนที่ส่งจะถูกนำมาคำนวณและมีค่าเท่ากันเมื่อปรับเป็นมูลค่าเงินปัจจุบันแล้ว ไม่เหมือนระบบเดิมที่เงินที่ส่งในช่วง 20-30 ปีแรกจะมีน้ำหนักน้อยกว่าที่ส่งใน 5 ปีสุดท้ายอย่างมาก
นอกจากนี้ระบบใหม่จะช่วยกระตุ้นให้ผู้ประกันตนส่งเงินสมทบอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพราะทุกเดือนที่ส่งจะมีผลต่อเงินบำนาญที่จะได้รับในอนาคต ไม่ใช่แค่พยายามเพิ่มเงินเดือนในช่วง 5 ปีสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งจะทำให้กองทุนประกันสังคมมีเสถียรภาพทางการเงินที่ดีขึ้นในระยะยาว
สำหรับผู้ประกันตนที่เกษียณตั้งแต่ปี 2574 เป็นต้นไป จะได้รับบำนาญตามสูตร CARE เต็มรูปแบบ โดยไม่มีการชดเชยแบบช่วงเปลี่ยนผ่านอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ส่งเงินสมทบมากตลอดอายุการทำงานจะได้รับบำนาญที่สูง ส่วนผู้ที่ส่งน้อยหรือไม่สม่ำเสมอก็จะได้รับตามสัดส่วนที่ส่งจริง เป็นระบบที่ยุติธรรมและโปร่งใสมากขึ้น
ช่องทางสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
สำนักงานประกันสังคมได้เปิดช่องทางให้ผู้ประกันตนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสูตรบำนาญใหม่ได้หลายช่องทาง โดยช่องทางหลักคือสายด่วน 1506 ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ประกันตนสามารถโทรสอบถามข้อสงสัยหรือขอคำแนะนำเกี่ยวกับการคำนวณบำนาญได้ทุกเวลา
นอกจากนี้ยังสามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ sso.go.th หรือติดตามข่าสารผ่านเพจเฟซบุ๊ก ssofanpage ซึ่งมีการอัพเดทข้อมูลและตัวอย่างการคำนวณอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้สำนักงานประกันสังคมยังได้จัดทำอินโฟกราฟิกและคลิปวิดีโออธิบายสูตร CARE
| ข้อดี | รายละเอียด |
| ผู้ประกันตนคนรา 33 ปี (หรือน้อยกว่า) | ได้รับสมนามบิดสิ่งเดิมที่ไม่ปรับรรม |
| กลุ่มที่ค่าจ้างบ้านาญสลาดที่จุดเข้าประกันตน | กลุ่มนี้จะรับบิ่มผลากงก้จมนาญค่าจ้างจะระยะรายนาย |
| กลุ่มที่ค่าจ้างสูง | มีส่งทมายา) กลุ่มนี้อาจได้รับบิมผลากงก้จมนาญและไม่ค่าจากรู้สสงมย |
| ผู้ที่ค่าจ้างเฉลี่ยสุดประมายรา 60 เดือนสุดท้าย | แม้ 60 เดือนสุดท้ายค่าจ้างจะเฉี่ยงประกันตนอาลมประกันตนอัทมบ้านาญ ระเดียมบำนาญเพิ่มขึ้น |
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “Community สังคมแห่งการลงทุน” เพื่อ เชื่อมต่อ พูดคุย แลกเปลี่ยน ไอเดียการลงทุน มาร่วมสร้างเครือข่ายนักลงทุนให้เติบโตไปด้วยกัน เข้าร่วมกับเรา: efinancethaiconnect