
หากท่านผู้อ่านยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ efinancethai เคยพาทุกท่านไปเจาะลึกงบการเงินและผ่าโครงสร้างธุรกิจในบทความ “ทำไม นานา ไรบีนา จากภาพลักษณ์หรูสู่หนี้ 400 ล้าน เจาะการเงินเธอพลาดตรงไหน?” ซึ่งในตอนนั้น บทวิเคราะห์ของเรามุ่งเน้นไปที่ประเด็นของ “ความผิดพลาดในการบริหารจัดการ” และปัญหา “การขาดสภาพคล่อง” ที่เกิดจากการขยายธุรกิจเกินตัว จนนำไปสู่การกู้ยืมเงินนอกระบบเพื่อมาหมุนเวียน
ทว่า… ดูเหมือนบทสรุปของเรื่องราวนี้ จะไม่ได้หยุดอยู่แค่คำว่า “ล้มเหลวทางธุรกิจ” หรือ “ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์” อีกต่อไป เพราะล่าสุด สถานการณ์ได้พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อความจริงอีกด้านถูกเปิดเผยโดย กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ข้อมูลใหม่ที่ปรากฏไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของตัวเลขทางบัญชีที่ติดลบ แต่กลับกลายเป็นพฤติการณ์ที่เข้าข่าย “การฉ้อโกงประชาชน” อย่างเป็นกระบวนการ เปลี่ยนสถานะจาก “นักธุรกิจผู้ประสบปัญหา” สู่ “ผู้ต้องหา” ในคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าตัวเลขหนี้สิน คือรูปแบบการกระทำที่ใช้ “ความไว้ใจ” ของเพื่อนสนิทและคนใกล้ชิดเป็นเครื่องมือ หรือที่เราเรียกว่า Affinity Fraud ซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ฉากหน้าของไลฟ์สไตล์ที่หรูหรา จากบทวิเคราะห์งบการเงินในตอนที่แล้ว สู่บทสรุปทางคดีความในตอนนี้ efinancethai ขอพาทุกท่านไปถอดรหัสเหตุการณ์ล่าสุด เจาะลึกพฤติกรรม และกลยุทธ์การลวงทุนที่แนบเนียนจนแม้แต่คนระดับ Super VIP ยังตกเป็นเหยื่อ บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาเพื่อโจมตีบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นการรวบรวมข้อเท็จจริงจากรายงานข่าวและข้อมูลทางคดี เพื่อถอดรหัสกลโกงทางการเงินรูปแบบใหม่ที่แฝงมาในคราบของมิตรภาพ

ในโลกของการลงทุน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดอาจไม่ใช่ความผันผวนของตลาดหุ้น หรือวิกฤตเศรษฐกิจระดับมหภาค แต่กลับเป็น “ความไว้ใจ” ที่เรามีต่อคนใกล้ชิด ยิ่งในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็ว การแยกแยะระหว่างโอกาสทองกับกับดักทางการเงินกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น ล่าสุด กรณีข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการบันเทิงและแวดวงนักลงทุน เมื่อตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้ดำเนินการจับกุมบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง “นานา ไรบีนา” กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญที่ efinancethai อยากชวนผู้อ่านทุกท่านมาวิเคราะห์เจาะลึก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้กับพอร์ตการลงทุนของคุณ
เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย และทีมงาน ได้นำกำลังเข้าจับกุม นาง นานา ไรบีนา อายุ 44 ปี ที่บ้านพักหรูในย่านเอกมัย การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากหมายจับศาลอาญาในข้อหาร้ายแรงอย่าง “ฉ้อโกงทรัพย์ และกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” ซึ่งเป็นคดีที่มีความซับซ้อนและสร้างความเสียหายในวงกว้าง
จากข้อมูลการสืบสวนพบว่า จุดเริ่มต้นของกระบวนการนี้เกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2565 โดยผู้ต้องหาได้ใช้ “ต้นทุนทางสังคม” ที่ตนเองมี ในฐานะดาราสาวที่มีชื่อเสียง สร้างความน่าเชื่อถือเพื่อชักชวนกลุ่มเป้าหมายมาร่วมลงทุน สิ่งที่น่าสังเกตคือ กลุ่มเป้าหมายไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่กลับเป็น “เพื่อนสนิท” คนใกล้ชิด และกลุ่มผู้ปกครองในโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบอาชญากรรมทางเศรษฐกิจประเภท Affinity Fraud หรือการฉ้อโกงที่อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นเครื่องมือ
หนึ่งในสัญญาณเตือนภัย (Red Flag) ที่ชัดเจนที่สุดในเคสนี้ คืออัตราผลตอบแทนที่ถูกนำมาใช้ล่อใจ จากข้อมูลระบุว่ามีการเสนอผลตอบแทนสูงถึงร้อยละ 4-7 ต่อเดือน หากเราลองคำนวณเป็นรายปี ตัวเลขนี้จะสูงถึง 48-84% ต่อปี ซึ่งในความเป็นจริง ไม่มีสินทรัพย์การลงทุนที่มีความมั่นคงประเภทใดในโลกที่จะการันตีผลตอบแทนระดับนี้ได้โดยไม่มีความเสี่ยงมหาศาล
ข้ออ้างที่ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความสมเหตุสมผลให้กับตัวเลขผลตอบแทนดังกล่าว มีความหลากหลายและดูน่าเชื่อถือในสายตาของคนทั่วไป อาทิ:
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบความจริงที่น่าตกใจว่า “ไม่มีการนำเงินไปลงทุนจริง” ตามที่กล่าวอ้าง แต่กลับเป็นลักษณะของการนำเงินจากนักลงทุนรายใหม่ มาหมุนจ่ายเป็นผลตอบแทนให้กับนักลงทุนรายเก่า (Ponzi Scheme) นอกจากนี้ยังมีการเบิกถอนเงินสดจำนวนมากออกมาใช้จ่ายส่วนตัว
สิ่งที่ทำให้ผู้เสียหายจำนวนมาก ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่มีฐานะและการศึกษาดี หลงเชื่อและยอมโอนเงินลงทุนจำนวนมหาศาล ไม่ได้เกิดจากความโลภเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการวางแผนทางจิตวิทยาที่แยบยล
แม้ตัวเลขความเสียหายเบื้องต้นจากการแจ้งความของกลุ่มผู้เสียหาย 17 ราย จะอยู่ที่ประมาณ 190-195 ล้านบาท แต่มีการคาดการณ์ว่าหากรวมผู้เสียหายรายอื่นที่ยังไม่เปิดเผยตัว ยอดความเสียหายจริงอาจพุ่งสูงกว่านั้นมาก (บางกระแสข่าวคาดการณ์ถึง 400 ล้านบาท)
ในกลุ่มผู้เสียหาย มีบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” รวมอยู่ด้วย โดยกรณีของคุณเจนี่ ถูกชักชวนให้ลงทุนเปิดสาขาร้านอาหารไทยในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งคุณเจนี่ได้ทยอยโอนเงินให้ทุกวัน วันละ 500,000 บาท รวมเป็นเงินกว่า 5 ล้านบาท (ตัวเลขทางตำรวจระบุ 3 ล้านบาท แต่ข้อมูลจากรายการโหนกระแสระบุ 5 ล้านบาท) สิ่งที่คุณเจนี่สะท้อนออกมาผ่านการไลฟ์สด คือความเจ็บปวดทางใจที่สำคัญกว่าตัวเลขเงิน เพราะมันคือการถูกทำลายความไว้ใจจากเพื่อนที่รักกันมาก
นอกจากนี้ ยังมีตัวเลขการลงทุนของผู้เสียหายรายอื่นที่น่าตกใจ เช่น
เมื่อถึงจุดที่ “สายป่านขาด” หรือไม่สามารถหาเงินจากรายใหม่มาจ่ายรายเก่าได้ ผู้ต้องหาเริ่มบ่ายเบี่ยงในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยอ้างเหตุผลสารพัด เช่น บัญชีถูกระงับจากหน่วยงานรัฐ หรือการจ่ายเช็คเด้ง จนนำไปสู่การจับกุมในที่สุด
ในปฏิบัติการครั้งนี้ เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดของกลางได้หลายรายการ ซึ่งสะท้อนไลฟ์สไตล์ที่หรูหราจากการใช้เงินของผู้เสียหาย ได้แก่:
เบื้องต้น ผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งกระบวนการต่อจากนี้จะเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนและศาลยุติธรรมในการพิสูจน์ความจริง
ตารางสรุปคดี “นานา ไรบีนา” จากภาพลักษณ์หรูสู่ผู้ต้องหาฉ้อโกง
| หัวข้อ | รายละเอียดข้อมูล | สถานะคดี/ความเคลื่อนไหวล่าสุด |
| เปลี่ยนสถานะ | จาก “วิกฤตสภาพคล่อง/บริหารผิดพลาด” สู่คดี “ฉ้อโกงประชาชน” | จับกุม 2-3 ธ.ค. 2568 |
| ผู้ต้องหา | นานาไรบีนา (44 ปี) ตามหมายจับศาลอาญา ปฏิเสธข้อหา | ข้อหา 2 ฐาน: ฉ้อโกงทรัพย์ + กู้ยืมฉ้อโกง |
| รูปแบบกลโกง | Affinity Fraud: ใช้ความไว้วางใจเพื่อนสนิท/ผู้ปกครองโรงเรียนนานาชาติ | สอบสวน ปปง.ฟอกเงิน |
| ผลตอบแทนล่อ | 4-7% ต่อเดือน (48-84% ต่อปี) สูงผิดปกติ | Red Flag ชัดเจน |
| ธุรกิจแอบอ้าง | 1. ปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล2. เทรดหุ้นผู้เชี่ยวชาญ3. ร้านอาหารต่างประเทศ/กีฬา4. กองทุนเครือใหญ่ | ไม่ลงทุนจริง |
| ความจริง | นำเงินใหม่จ่ายเก่า + เบิกใช้ส่วนตัว | ยืนยันจากเส้นเงิน |
| กลยุทธ์ปิดบัง | 1. อ้าง “ต.เต่า”/จ.จาน/ท.ทหาร (Scapegoat)2. ห้ามบอกใคร (Exclusive)3. สลิป/เอกสารหุ้นปลอม | พบหลักฐานเท็จ |
| มูลค่าความเสียหาย | 17 ราย = 195 ล้านบาท (คาดรวม >400 ล้าน) | แจ้งความแล้ว |
| ตัวอย่างผู้เสียหาย | – เจนี่ : 3-5 ล้าน (ร้านอาหารนิวยอร์ก)- ข้าวโพด : 50-70 ล้าน- จ.จาน : 70 ล้าน- ท.ทหาร : 90 ล้าน | จำนวนเงินเหล่าคนดังที่ตกเป็นเหยื่อ (อาจมีมากกว่านี้ในอนาคต) |
| ทรัพย์ยึด | iPhone 7 เครื่อง, Art Toy 11 กล่อง, Hardware Wallet คริปโต, กระเป๋า Hermes/LV, จิวเวลรี 50 ชิ้น, Mini Cooper, โฉนดอ่างทอง/กทม. | ส่ง ปปง. |

จากกรณีศึกษาของ “นานา ไรบีนา” ที่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการการลงทุนไทย ไม่ใช่เพียงเพราะมูลค่าความเสียหายที่สูงกว่า 190 ล้านบาทเท่านั้น แต่ยังเป็นอุทาหรณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า อาชญากรรมทางเศรษฐกิจในปัจจุบันได้พัฒนารูปแบบให้แนบเนียนไปกับความสัมพันธ์ส่วนบุคคล หรือที่เรียกว่า Affinity Fraud ได้อย่างน่ากลัว ทางทีมงาน efinancethai จึงได้ถอดรหัสและสรุปแนวทางการป้องกันความเสี่ยง เพื่อให้นักลงทุนทุกท่านใช้เป็นด่านปราการสำคัญในการพิจารณาการลงทุน ดังนี้
ข้อควรระวัง : นักลงทุนต้องตั้งคำถามเสมอว่า “ธุรกิจนำเงินไปทำอะไรจึงเกิดกำไรมหาศาลขนาดนี้?” หากคำตอบที่ได้รับมีความคลุมเครือ หรืออ้างถึงโมเดลธุรกิจที่ซับซ้อนจนไม่สามารถตรวจสอบงบการเงินได้ ให้พึงระลึกไว้เสมอว่า ท่านอาจกำลังเผชิญกับขบวนการแชร์ลูกโซ่
ข้อควรระวัง : ในโลกของการเงินอาชีพ “สัญญาใจ” ไม่มีผลทางกฎหมาย การตัดสินใจลงทุนต้องวางอยู่บนพื้นฐานของเอกสารสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร (Written Contract) ที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น ไม่ควรนำความเกรงใจหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวมาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจ เพราะเมื่อเกิดความเสียหาย การเรียกร้องสิทธิ์จะทำได้ยากลำบาก
ข้อควรระวัง : นักลงทุน “ห้าม” เชื่อถือภาพถ่ายสลิปโอนเงิน หรือเอกสารที่คู่สัญญาจัดหามาให้เพียงฝ่ายเดียวเด็ดขาด วิธีการที่ถูกต้องคือ Cross-Check หรือการตรวจสอบยันยอดกับหน่วยงานต้นทาง เช่น ตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้นจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือตรวจสอบใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อจากธนาคารแห่งประเทศไทย โดยตรง
4. ความโปร่งใส คือ หัวใจสำคัญ
ข้อควรระวัง : ในโลกการเงินสีขาว “ความลับไม่มีในโลก” การลงทุนที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ จะต้องสามารถเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะหรือหน่วยงานกำกับดูแลได้ หากท่านได้รับข้อเสนอการลงทุนที่มีเงื่อนไขเรื่องการปิดบังข้อมูล ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นเจตนาเพื่อปิดกั้นการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารระหว่างผู้เสียหาย เพื่อยืดระยะเวลาในการฉ้อโกง
ตารางสรุป Financial Wisdom เช็กลิสต์เกราะป้องกันกลโกง
| เช็กลิสต์ | สิ่งที่ต้องทำ / ข้อควรระวัง |
| 1. ตรวจที่มาผลตอบแทน | สงสัยทันที : การันตี >8-10% ต่อปีโดยปราศจากความเสี่ยงชัดเจนถามให้ชัด : “ธุรกิจนำเงินไปทำอะไรถึงกำไรมหาศาล?”คำเตือน SEC : ผลตอบแทนสูง = Red Flag Ponzi |
| 2. แยกความสัมพันธ์ | กฎเหล็ก : อย่าลงทุนจาก “ความเกรงใจเพื่อน”ต้องมี : สัญญาลายลักษณ์อักษร (ปพพ.ม.456 สัญญาใจไร้ผล)คดีนานา : เพื่อนสนิทเจนี่เสียหาย 3-5 ล้าน |
| 3. ตรวจสอบหลักฐาน | ห้ามเชื่อ : สลิปโอนเงิน/เอกสารจากคู่สัญญาฝ่ายเดียวต้องทำ : Cross-check กรมพัฒนาธุรกิจการค้า/ธนาคารแห่งประเทศไทยพบในคดี : สลิปปลอม + เอกสารหุ้นเท็จ |
| 4. ความโปร่งใส | สัญญาณอันตราย : “ห้ามบอกใคร” = กลยุทธ์ปิดข้อมูลหลักการ : ลงทุนถูกกฎหมายตรวจสอบ/เปิดเผยได้Affinity Fraud : ใช้ Exclusive ล่อเหยื่อ Super VIP |
การลงทุนมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุดคือการลงทุนในสิ่งที่เราไม่รู้จริงและตรวจสอบไม่ได้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นอุทาหรณ์และช่วยเตือนสติให้นักลงทุนทุกท่าน พิจารณาอย่างรอบคอบก่อนส่งมอบเงินออมของท่านให้ใครดูแล
สำหรับใครที่ต้องการติดตามข่าวสารการลงทุน เจาะลึกข้อมูลเศรษฐกิจ และบทวิเคราะห์ที่ทันสมัย สามารถติดตามต่อได้ที่ efin.finance เว็บไซต์ข่าวหุ้นและการเงินอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
หมายเหตุ: บทความนี้เรียบเรียงขึ้นจากข้อมูลข่าวและเอกสารที่ปรากฏในสื่อสาธารณะ ณ ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสารและติดตามผลทางคดีจากเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป
อ้างอิงจากจาก ตำรวจสอบสวนกลาง