*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 58.95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ หรือ 0.5% สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ปิดที่ 62.67 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ หรือ 0.4% โดยทั้ง 2 สัญญา ปรับตัวร่วงลงมากกว่า 1% ในวันก่อนหน้า ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นในวันพุธ หลังการเจรจาระหว่างสหรัฐฯและรัสเซีย เพื่อยุติสงครามยูเครนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ซึ่งหากสำเร็จอาจนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรต่อภาคพลังงานของรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องอุปทานส่วนเกินในตลาดโลกยังเป็นปัจจัยที่จำกัดแรงบวกของราคา *** สหภาพยุโรป (EU) บรรลุข้อตกลงเลิกนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ภายในปลายปี 2027 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามยุติการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียที่ดำเนินมานานหลายทศวรรษ แม้ว่าจะเริ่มมีสัญญาณของความท้าทายด้านกฎหมายจากประเทศสมาชิกบางรายแล้วก็ตาม ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว EU จะยุติการนำเข้าก๊าซรัสเซียอย่างถาวร และเดินหน้าเลิกพึ่งพาน้ำมันจากรัสเซีย โดยการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จะยุติภายในสิ้นปี 2026 และก๊าซผ่านท่อส่งจะถูกยกเลิกภายในสิ้นเดือนก.ย. 2027 *** เวเนซุเอลาส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนพ.ย. ที่ราว 921,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือเป็นระดับเฉลี่ยรายเดือนสูงเป็นอันดับ 3 ของปีนี้ หลังประเทศเพิ่มการใช้น้ำมันแนฟทาและสารเจือจาง (diluents) เพื่อผลิตน้ำมันเกรดที่สามารถส่งออกได้ โดยประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในกลุ่มโอเปคแห่งนี้ กำลังเผชิญแรงกดดันทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ การส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิงของเวเนซุเอลาในเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 3% จากเดือนต.ค. แต่ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 5% โดยจีนยังคงเป็นปลายทางหลัก โดยรับซื้อน้ำมันคิดเป็นประมาณ 80% ของการส่งออกทั้งหมด หรือราว 746,000 บาร์เรลต่อวัน *** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอให้ลดมาตรฐานด้านการประหยัดน้ำมัน สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่งเป็นมาตรการที่รัฐบาลไบเดนเคยออกไว้ก่อนหน้านี้ โดยทรัมป์กล่าวว่า “เราได้ยุติมาตรฐาน CAFE ของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนอย่างเป็นทางการแล้ว เนื่องจากยุ่งยากเกินความจำเป็น และมีข้อจำกัดที่ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง โดยมาตรฐาน Corporate Average Fuel Economy หรือ CAFE นั้น ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1975 และเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมันของยานยนต์ *** บริษัทเอกชนในสหรัฐฯ เลิกจ้างพนักงานในเดือนพ.ย. มากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 ซึ่งสร้างความกังวลเพิ่มขึ้นว่า ตลาดแรงงานอาจอ่อนแรงเร็วกว่าคาด โดยข้อมูลจาก ADP Research ระบุว่า การจ้างงานภาคเอกชนลดลง 32,000 ตำแหน่ง โดยช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขการจ้างงานลดลงแล้วถึง 4 ครั้ง ขณะที่ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของบลูมเบิร์กคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10,000 ตำแหน่ง ตัวเลขที่อ่อนแอจาก ADP มีแนวโน้มทำให้ตลาดยิ่งวิตกว่า ภาวะตลาดแรงงานกำลังเสื่อมถอยเร็วยิ่งขึ้น ก่อนการประชุมนโยบายการเงินรอบสุดท้ายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประจำปีนี้ในสัปดาห์หน้า โดยรายงานดังกล่าวอาจมีน้ำหนักมากกว่าปกติ เนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐ ทำให้รายงานการจ้างงานของรัฐบาลเดือนพ.ย. ถูกเลื่อนออกไป *** สถานการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังเผชิญการขาดทุนต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งเกิดจากการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยข้อมูลล่าสุดจากเฟดในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่า ตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. เฟดกลับมาทำรายได้มากพอที่จะเริ่มชดเชยสินทรัพย์รอการรับรู้ ซึ่งเป็นบัญชีที่ใช้บันทึกผลขาดทุนสะสม ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. ขนาดของสินทรัพย์รอการรับรู้ดังกล่าวลดลงจาก 243,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 243,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 26 พ.ย. แม้จะเป็นการลดลงเพียงเล็กน้อย แต่ถือเป็นการเปลี่ยนทิศทางหลังแนวโน้มขาดทุนสะสมที่ยาวนาน *** ฮาวเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ คาดว่าจะได้รับคำมั่นลงทุนจำนวนมากจากไต้หวัน ในการเจรค้าด้านการค้า ขณะที่ประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ของไต้หวัน ระบุว่ามีหลายประเด็นที่ต้องปรับปรุงเพื่อให้โครงการต่าง ๆ สามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยลัทนิคกล่าวว่า กำลังหารือกันอยู่ เป้าหมายของรัฐบาลคือต้องการนำการผลิตเซมิคอนดักเตอร์กลับคืนสู่สหรัฐฯ ด้านประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ กล่าวว่า ไต้หวันสนับสนุนเป้าหมายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการผลักดันให้สหรัฐฯ กลับมาเป็นฐานอุตสาหกรรม รวมถึงการขยายกำลังการผลิตชิปในประเทศ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย สหรัฐฯ จำเป็นต้องลดการพึ่งพาไต้หวันซึ่งเป็นแหล่งผลิตชิปรายสำคัญ และบริษัทไต้หวันเองก็ต้องการความเชื่อมั่นและความมั่นใจบางประการ 
*** อินเดียซึ่งกำลังเผชิญ มาตรการเก็บภาษีลงโทษจากสหรัฐฯ อันเป็นผลจากการซื้อน้ำมันรัสเซีย ล่าสุดรัฐบาลอินเดีย เตรียมเปิดทำเนียบต้อนรับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย สำหรับการเยือนเป็นเวลา 2 วัน ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจของอินเดีย ในการกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียมากขึ้น โดยการเยือนครั้งนี้ บ่งชี้ว่าอินเดียต้องการรักษาความสัมพันธ์กับรัสเซีย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อินเดียมองว่าสหรัฐฯ ไม่น่าไว้วางใจ และจีนมีท่าทีเป็นศัตรู *** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า ได้พบกับเจนเซ่น หวง ซีอีโอของ Nvidia และระบุว่า หวงนั้นรู้ดีว่าจุดยืนของเขาเกี่ยวกับมาตรการควบคุมการส่งออกชิปไปจีนเป็นอย่างไร โดยการพบปะครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลทรัมป์กำลังพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ Nvidia ขายชิป H200 ซึ่งเป็นรุ่นรองจากรุ่นเรือธงปัจจุบันให้กับจีนหรือไม่ ด้านเจนเซ่น หวง ซีอีโอ Nvidia ระบุว่า ไม่มั่นใจว่าจีนจะยอมรับชิปปัญญาประดิษฐ์ H200 ของบริษัทหรือไม่ หากสหรัฐฯ ตัดสินใจผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออก *** Nvidia เผยข้อมูลใหม่ ซึ่งระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นล่าสุดของบริษัท สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของโมเดล AI รุ่นใหม่ รวมถึงโมเดลยอดนิยมจากจีนได้มากถึง 10 เท่า โดยข้อมูลของ Nvidia มุ่งเน้นไปที่โมเดลแบบ Mixture-of-Experts (MoE) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทำให้โมเดล AI มีประสิทธิภาพดีขึ้น โดยแบ่งคำถามออกเป็นส่วน ๆ และส่งแต่ละส่วนไปให้ผู้เชี่ยวชาญภายในโมเดลจัดการ เทคนิคนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในปีนี้ หลัง DeepSeek ของจีน ทำให้โลกเซอร์ไพรส์ด้วยโมเดลโอเพ่นซอร์สประสิทธิภาพสูง *** ราคาหุ้นของ Microsoft ลดลงหลังสื่อ The Information รายงานว่าบริษัทได้ลดความคาดหวังในการผลักดันให้ลูกค้าองค์กรใช้จ่ายผ่านมาร์เก็ตเพลสของธุรกิจคลาวด์สำหรับโมเดลและเอเจนต์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของบริษัท โดยรายงานระบุว่า แผนกต่าง ๆ ภายใน Microsoft ได้ปรับลดโควตาการเติบโตของยอดขายผลิตภัณฑ์ AI หลายรายการ หุ้นไมโครซอฟท์ร่วงลงมากถึง 3% ก่อนลดช่วงลบลงมา โดยปิดตลาดที่ -2.50% หลังนักวิเคราะห์และนักลงทุนประเมินรายงานดังกล่าวใหม่ *** TikTok เตรียมร่วมมือกับผู้พัฒนาศูนย์ข้อมูล Omnia และ Casa dos Ventos ผู้ให้บริการพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ของบราซิล เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในรัฐเซอารา (Ceará) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยโครงการนี้จะตั้งอยู่ใกล้ท่าเรืออุตสาหกรรมเปเซง (Pecém) และจะใช้พลังงานสะอาดจากฟาร์มกังหันลมทั้งหมด *** Mo Assomull ผู้ร่วมบริหารฝ่ายวาณิชธนกิจของ Morgan Stanley กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นปริมาณดีลที่แข็งแกร่งสำหรับปีหน้า ทั้งการควบรวมกิจการ (M&A) และการเสนอขายหุ้น IPO โดยระบุว่า ภาพรวมดีล M&A ในหลายอุตสาหกรรมถือว่าแข็งแรง โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี สุขภาพ อุตสาหกรรม และการเงิน ขณะเดียวกันสภาพเศรษฐกิจโดยรวมก็สนับสนุนให้ดีลต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังระบุด้วยว่า นโยบายสนับสนุนการเติบโตของรัฐบาลทรัมป์ คาดว่าจะทำให้เกิดการควบรวมในภาคการเงินมากขึ้น *** ยอดขายรถของ Tesla ในสหราชอาณาจักรลดลง 19% เมื่อเทียบกับปีก่อนในเดือนพ.ย. ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐฯ ยังคงสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในยุโรปให้กับคู่แข่งจากจีน หลังจากยอดจดทะเบียนรถหดครึ่งหนึ่งในเดือนต.ค. ยอดจดทะเบียนของ Tesla ลดลงเหลือ 3,784 คันในเดือนพ.ย. จาก 4,680 คันในปีก่อน ขณะที่ยอดจดทะเบียนของ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่า *** ฮุนได มอเตอร์ และเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) มีโอกาสเป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการที่สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า รวมถึงภาษีนำเข้ารถยนต์จากเกาหลีใต้ โดยผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเกาหลีใต้รายนี้ เป็นผู้นำเข้ารถยนต์ใหม่จากเกาหลีใต้เข้าสู่สหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุด ตามด้วย GM โดยตลอดปีที่ผ่านมา ทั้ง 2 บริษัท ต้องจ่ายภาษีรวมกันเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากเกาหลีใต้และประเทศอื่น ๆ ในอัตรา 25% เมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา *** ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ อี แจ-มยอง ให้คำมั่นว่าจะ “ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด” กับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งนำโดยอดีตประธานาธิบดียุน ซอกยอล โดยระบุว่าเหตุการณ์ความปั่นป่วนครั้งนั้น เป็นบททดสอบความแข็งแกร่งของระบอบประชาธิปไตยของประเทศ ในการแถลงพิเศษต่อประชาชน ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ปีที่แล้ว ว่าเป็นการปฏิวัติแห่งแสงสว่างและกล่าวว่าการปฏิวัตินั้นยังไม่สมบูรณ์ พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า การสืบสวนและกระบวนการพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับความพยายามก่อกบฏยังคงดำเนินต่อไป 
|