*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 58.84 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 78 เซนต์ หรือ 1.3% สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ปิดที่ 63.37 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปรับขึ้น 81 เซนต์ หรือ 1.3% โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สัญญาน้ำมันดิบทั้ง 2 สัญญา ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นราว 1% ในวันจันทร์ จากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นว่าสหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. รวมถึงความสงสัยที่มากขึ้นว่า รัสเซียจะสามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับยูเครนได้จริงหรือไม่ ซึ่งหากเกิดขึ้นจะช่วยหนุนการส่งออกน้ำมันของประเทศ *** บริษัทน้ำมันแห่งรัฐของอาบูดาบี (ADNOC) เปิดเผยว่า มีแผนลงทุนมูลค่า 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างปี 2026–2030 เพื่อรักษาการดำเนินงานหลัก ขับเคลื่อนการเติบโต และรองรับความต้องการพลังงานทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้น โดยคณะกรรมการบริษัทระบุว่า ได้มีการรับรองการปรับเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันของ ADNOC ขึ้นเป็น 120,000 ล้านบาร์เรล จากเดิม 113,000 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติปรับเพิ่มขึ้นเป็น 297 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต จาก 290 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต *** Deutsche Bank ออกบทวิเคราะห์ประเมินว่าดัชนี S&P 500 จะปรับตัวขึ้นแตะระดับ 8,000 จุดภายในสิ้นปีหน้า โดยอ้างอิงจากแรงหนุนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง และแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ส่งผลให้กลายเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินระดับโลก ที่มีมุมมองเชิงบวกต่อดัชนีมากที่สุดในปัจจุบัน ราคาเป้าหมายดังกล่าวของดอยช์แบงก์สะท้อน อัพไซด์ราว 21% จากระดับปิดล่าสุดของดัชนีที่ 6,602.99 จุด พร้อมกันนี้ยังประเมินว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ของ S&P 500 จะขึ้นไปแตะ 320 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน HSBC ของอังกฤษ ได้ตั้งเป้าหมายดัชนี S&P 500 ณ สิ้นปี 2026 ไว้ที่ 7,500 จุด โดยอิงมุมมองเชิงบวกต่อธีม AI เช่นเดียวกัน *** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พูดคุยทางโทรศัพท์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ถือเป็นการหารือครั้งแรกนับตั้งแต่ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงยุติสงครามภาษีเมื่อเดือนที่แล้ว โดยการสนทนาครอบคลุมประเด็นการค้า ไต้หวัน และการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า การสนทนาครั้งนี้เป็นการพูดคุยที่ดีมาก โดยผู้นำทั้ง 2 ได้หารือเกี่ยวกับการนำเข้าถั่วเหลืองและสินค้าเกษตรอื่น ๆ รวมถึงความร่วมมือในการสกัดกั้นการลักลอบส่งเฟนทานิลผิดกฎหมายเข้าสหรัฐฯ พร้อมยังเปิดเผยว่า ได้ตอบตกลงเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งในเดือนเม.ย. และได้เชิญสี จิ้นผิงให้เดินทางเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในปีหน้า *** ฮาวเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ Nvidia ขายชิปปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงให้แก่จีนหรือไม่ และเขาจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องนี้ โดยทรัมป์กำลังรับฟังคำแนะนำจากที่ปรึกษาหลายฝ่าย ในกระบวนการพิจารณาอนุมัติการส่งออก พร้อมเสริมว่าทรัมป์เป็นผู้ที่เข้าใจประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ดีที่สุด *** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ประกาศความพยายามของรัฐบาลกลางในการสร้างแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์แบบบูรณาการ โดยมีเป้าหมายใช้ชุดข้อมูลวิทยาศาสตร์จากหน่วยงานรัฐ เป็นฐานในการเทรนเทคโนโลยีรุ่นใหม่ โครงการดังกล่าวใช้ชื่อว่า “Genesis Mission” โดยมุ่งพลิกโฉมกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และเร่งความเร็วของการค้นพบครั้งสำคัญ ผ่านการนำชุดข้อมูลวิทยาศาสตร์ขนาดมหาศาลของรัฐบาลมาใช้เทรนโมเดลพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ และสร้าง AI agents เพื่อทดสอบสมมติฐานใหม่ ๆ ทำให้เวิร์กโฟลว์การวิจัยเป็นอัตโนมัติ และเร่งการพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์” *** จำนวนผู้บริโภคในช่วง Black Friday ปีนี้ คาดว่าจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่การใช้จ่ายมีแนวโน้มถูกจำกัดมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคพบว่ามีส่วนลดน้อยลง จากผู้ค้าปลีกที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ โดยสมาพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐฯ (NRF) ประเมินว่าจะมีผู้คน 186.9 ล้านคน ออกมาช้อปปิ้งในช่วง 5 วันระหว่างวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ถึง Cyber Monday เพิ่มขึ้นจาก 183.4 ล้านคนปีก่อน อย่างไรก็ดี การเติบโตของยอดขายในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี ซึ่งถือเป็นช่วงทำกำไรสำคัญของผู้ค้าปลีก คาดว่าจะชะลอลงจากปีก่อน *** บริษัทในสหรัฐฯ กู้เงินเพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบปีก่อน เพื่อใช้ในการจัดซื้ออุปกรณ์ในเดือนต.ค. แสดงให้เห็นว่าความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เครื่องจักรแทบไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะการปิดหน่วยงานรัฐบาลที่เพิ่งผ่านพ้นไป โดยยอดทำสัญญาสินเชื่อใหม่ ลีสซิ่ง และวงเงินสินเชื่อรวมในเดือนต.ค. อยู่ที่ 10,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังปรับตามฤดูกาล ซึ่งเท่ากับระดับในเดือนก่อนหน้า รายงานระบุว่า หากแนวโน้มปัจจุบันยังดำเนินต่อไป ปี 2025 จะกลายเป็นปีที่มีความต้องการสินเชื่อซื้ออุปกรณ์สูงเป็นอันดับสอง นับตั้งแต่ ELFA เริ่มจัดทำดัชนี CapEx Finance Index (CFI) ในปี 2006 *** คณะกรรมาธิการยุโรป ฝ่ายการแข่งขันของสหภาพยุโรป (EU) ปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้สหภาพยุโรป (EU) ผ่อนคลายหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลบริษัทเทคโนโลยี เพื่อแลกกับข้อตกลงลดภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม หลังฮาวเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่ายุโรปต้องผ่อนปรนกฎด้านดิจิทัลของตน หากต้องการข้อตกลงดังกล่าว ลัทนิคกล่าวว่า สหรัฐฯ พร้อมเสนอดีลเหล็กและอะลูมิเนียมให้แก่ EU หากยุโรปยอมปรับลดกฎควบคุมบริษัทเทคฯยักษ์ โดยขณะนี้ สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษี 50% สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียมที่นำเข้าจากยุโรป 
*** Syngenta Group บริษัทเทคโนโลยีการเกษตรสัญชาติจีน กำลังพิจารณาแผนการทำ IPO ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งการหารือยังอยู่ในช่วงต้นและบริษัทอาจประกาศการเข้าจดทะเบียนได้ภายในปีหน้า หลังพับแผน IPO มูลค่า 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในตลาดเซี่ยงไฮ้ โดย Syngenta Group กำลังพูดคุยเบื้องต้นกับที่ปรึกษาทางการเงิน และก่อนเข้าตลาดฮ่องกง บริษัทอาจพิจารณาขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักหรือสินทรัพย์ที่ขาดทุนออกจากพอร์ต เพื่อปรับโครงสร้างให้ดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น *** จอห์น แลม (John Lam) หัวหน้าฝ่ายวิจัยอสังหาริมทรัพย์จีนของ UBS Group AG ปรับลดมุมมองเชิงบวกก่อนหน้านี้ และมีความคิดเห็นในทิศทางดียวกับวอลล์สตรีท ที่ประเมินว่าภาวะซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์จีน ซึ่งยืดเยื้อมานาน 4 ปี ยังคงอีกไกลกว่าจะสิ้นุสดลง โดยแลมคาดว่า ราคาบ้านจีนจะยังปรับลดลง อย่างน้อยอีก 2 ปี ก่อนที่ตลาดที่อยู่อาศัยซึ่งอ่อนแรงอย่างหนักจะสามารถเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวได้ หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ ผู้ซื้อจำนวนมากหันไปเช่าแทนการซื้อ เนื่องจากราคาบ้านยังคงปรับลดต่อเนื่อง *** ยอดติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ของจีน ยังคงฟื้นตัวในเดือนต.ค. โดยเพิ่มขึ้นเป็น 12.6 กิกะวัตต์ จาก 9.66 กิกะวัตต์ ในเดือนก.ย. อย่างไรก็ดี ตัวเลขเดือนต.ค. ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 20.4 กิกะวัตต์ โดยปกติ ไตรมาส 4 เป็นฤดูกาลเร่งก่อสร้างสูงสุดของภาคโซลาร์จีน โดยปริมาณการติดตั้งมักพุ่งขึ้นใกล้สิ้นปี แต่ปีนี้โครงสร้างราคาตามกลไกตลาดแบบใหม่ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. ทำให้นักพัฒนาโครงการเร่งปิดงานตั้งแต่ช่วงต้นปี ส่งผลให้ความต้องการถูกดึงไปล่วงหน้าและนำไปสู่ภาวะชะลอตัวอย่างหนักในช่วงฤดูร้อน ก่อนที่อุปสงค์จะเริ่มฟื้นในเดือนก.ย. *** ค่าเงินรูปีอินเดียกลับมาแข็งค่าขึ้นในวันจันทร์ หลังธนาคารกลางอินเดีย (RBI) เข้าแทรกแซงตลาดอีกครั้ง หลังร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันศุกร์ ซึ่งในวันดังกล่าว นักลงทุนในตลาด ล้วนประหลาดใจกับการที่ RBI ไม่ออกมาป้องกันค่าเงินเหมือนที่ทำต่อเนื่องในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินรูปีแข็งค่าขึ้นถึง 0.4% แตะระดับ 89.08 รูปีต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากดิ่งลงทำสถิติต่ำสุดใหม่ที่ 89.48 ในวันศุกร์ โดยนักลงทุนระบุว่า การที่ RBI ไม่เข้ามาแทรกแซง ทำให้ค่าเงินรับผลกระทบเต็ม ๆ จากภาษีสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นก่อนปิดตลาดที่ 89.2375 รูปีต่อดอลลาร์สหรัฐ *** การทดลองทางคลินิกของยา Ozempic ในรูปแบบเม็ดของบริษัท Novo Nordisk A/S ไม่สามารถชะลอความรุนแรงของโรคอัลไซเมอร์ได้ ตามผลการศึกษาจำนวน 2 โครงการ ท่ามกลางความคาดหวังว่า จะเปิดโอกาสให้บริษัทยาที่เด่นในเรื่องยารักษาโรคอ้วน สามารถขยายการใช้ยาไปสู่การรักษาโรคสมองเสื่อม โดย Novo เปิดเผยว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาดังกล่าว ไม่พบการชะลอการดำเนินโรค ตามการประเมินด้านการรับรู้ และบริษัทจะยุติแผนขยายการทดลองต่ออีก 1 ปีทันที ซึ่งหลังรายงาน ทำให้หุ้น Novo ร่วงลง 5.8% ในตลาดโคเปนเฮเกน ปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 4 ปี *** รัฐบาลมาเลเซีย เตรียมบังคับใช้มาตรการห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี มีบัญชีโซเชียลมีเดียตั้งแต่ปีหน้า เพื่อปกป้องเยาวชนจากอันตรายบนโลกออนไลน์ โดยรัฐบาลจะเพิ่มความเข้มงวดด้านความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ผ่านกฎการยืนยันตัวตนรูปแบบใหม่ มาเลเซียจะจับตาการดำเนินการของออสเตรเลีย ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้มาตรการห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดียในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ เพื่อประเมินผลกระทบและแนวทางที่เหมาะสม ก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรีมาเลเซีย มีมติปรับเกณฑ์อายุขั้นต่ำของผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียจาก 13 ปีเป็น 16 ปี โดยมาตรการดังกล่าวสอดคล้องกับกฎหมาย Online Safety Act ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ปีหน้า *** Spotify แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลงสัญชาติสวีเดน เตรียมปรับขึ้นราคาแพ็กเกจสมาชิกในสหรัฐฯ ช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า ก่อนหน้านี้ในเดือนส.ค. Spotify ประกาศปรับขึ้นราคาค่าสมาชิกรายเดือนในหลายภูมิภาคทั่วโลกเป็น 11.99 ยูโรต่อเดือน จากเดิม 10.99 ยูโร ครอบคลุมตลาดในเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรป ลาตินอเมริกา และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อย่างไรก็ตาม การขึ้นราคาที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า จะเป็นการปรับขึ้นค่าบริการในสหรัฐฯ ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2024 ซึ่งตอกย้ำแนวโน้มแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งรายใหญ่ทั่วโลกทยอยปรับโครงสร้างราคา เพื่อรองรับต้นทุนค่าลิขสิทธิ์และการลงทุนด้านเนื้อหาและเทคโนโลยีที่สูงขึ้น *** ราคาหุ้น Alphabet ปรับตัวขึ้นแรงในวันจันทร์ ดันมูลค่าบริษัทเข้าใกล้ระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เตรียมเป็นบริษัทที่ 4 ของโลกที่ก้าวเข้าสู่ระดับดังกล่าว ตามกระแสเก็งกำไรหุ้นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาหุ้น Alphabet พุ่งขึ้นมากกว่า 5% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 315.90 ดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้มาร์เก็ตแคปแตะราว 3.82 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่นับตั้งแต่ต้นปี หุ้นขยับขึ้นมาแล้วเกือบ 70% ทิ้งห่างคู่แข่งสาย AI อย่าง Microsoft และ Amazon *** Amazon เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนลงทุนราว 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในพื้นที่ตอนเหนือของรัฐอินเดียนา เพื่อสร้างแคมปัสดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ ตอกย้ำความพยายามในการขยายขีดความสามารถด้านคลาวด์คอมพิวติ้งเพื่อตอบรับความต้องการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด โครงการใหม่ดังกล่าวเป็นการลงทุนเพิ่มเติมจากงบ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ประกาศไว้เมื่อปีที่แล้ว โดยรอบนี้จะเพิ่มกำลังวัตต์ของระบบเป็น 2.4 กิกะวัตต์ และคาดว่าจะสร้างงานใหม่ราว 1,100 ตำแหน่ง 
|