กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ประกาศงบไตรมาส 3/68 (Q3/68) ครบถ้วนแล้ว โดยพบว่า 11 ธนาคารในตลาดหุ้นไทย มีผลกำไร 73,707 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.83% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 64,747 ล้านบาท โดย ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KTB มีกำไรสูงสุดที่ 14,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.1%YoY และ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ CIMBT มีกำไรน้อยสุดที่ 817 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือน กลุ่มธนาคารทำกำไรสูงถึง 207,766 ล้านบาท ซึ่งพบว่า ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KBANK มีกำไรสูงสุดที่ 38,835 ล้านบาท และ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ CIMBT มีกำไรน้อยสุดที่ 1,830 ล้านบาท ภาพรวมกำไรกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไตรมาสนี้ ถือว่าปรับตัวดีขึ้นกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ เนื่องจากส่วนใหญ่ มีปัจจัยสนับสนุนจาก กำไรจากเงินลงทุน(mark to market accounting gain) และกำไรจากค่าธรรมเนียม ในกองทุน- ประกัน และ ธุรกิจ wealth Management และการปรับลดต้นทุนอย่างเข้มข้น ทั้งลดพนักงาน และ ขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออกไป ***5 แบงก์ใหญ่กำไรพุ่ง แต่รายได้ดอกเบี้ยลดลงถ้วนหน้า เมื่อลองดู 5 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่สุดของไทย พบว่า ทั้ง 5 ธนาคาร มีกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปี 67 และออกมาดีกว่านักวิเคราะห์คาด แต่กลับกลายเป็นว่า กำไรของที่ดีขึ้น จะเป็นไปในลักษณะเดียวกันคือ ได้ ปัจจัยหนุนจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย สวนทางกับรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงตามดอกเบี้ยนโยบาย ดังนี้ - ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KTB มีกำไรสุทธิ 14,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.1% YoY รายได้ขยายตัว 3.4% จากธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน และ กำไรจากเงินลงทุน จากตราสารหนี้ และอัตราแลกเปลี่ยนตามสภาวะตลาดอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจ Wealth Management ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ลดลง 4,014 ล้านบาท หรือ 13.4% อยู่ที่ 25,871 ล้านบาท จากภาวะดอกเบี้ย และ การปรับดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้า - ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ BBL มีกำไรสุทธิจำนวน 13,789 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.5% YoY จากกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน และ กำไรจากเงินลงทุน ทั้ง รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากธุรกิจหลักทรัพย์ - ประกันผ่านธนาคาร และกองทุนรวม ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ลดลง 2,617 ล้านบาท หรือ 7.8% อยู่ที่ 30,750 ล้านบาท จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ การชะลอตัวของเงินให้สินเชื่อตามภาวะเศรษฐกิจ - ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KBANK มีกำไรสุทธิ 13,007.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.79% YoY จากรายได้ค่าธรรมเนียม และ บริการ ประกอบกับ ภาวะตลาดที่ปรับตัวดีขึ้น , กําไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร หรือ ขาดทุน , รายได้จากการลงทุนในภาวะตลาดที่เอื้ออํานวย ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ลดลง 2,535 ล้านบาท หรือ 6.90% อยู่ที่ 34,158 ล้านบาท จากตามภาวะอัตราดอกเบี้ย ซึ่งรวมทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระให้ลูกค้ามีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขี้น และ การลดลงของเงินให้สินเชื่อ - บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) มีกำไรสุทธิ 12,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.2% จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งที่เติบโตอย่างโดดเด่น การเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมทางการเงิน ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อ การลงทุนและการค้า และพอร์ตการลงทุนของธนาคาร ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ลดลง 3,222 ล้านบาท หรือ 9.9% อยู่ที่ 29,413 ล้านบาท รับดอกเบี้ยสุทธิลดลง ซึ่งเป็นไปตามปริมาณสินเชื่อโดยรวมที่ลดลง ภายใต้การปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง - ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB มีกำไรสุทธิ 5,299.08 ล้านบาท ทรงตัว YoY โดยรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จากรายได้ค่าธรรมเนียม ธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ และ การขายกองทุนรวม นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมจากบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต ในฐานะบริษัทย่อย ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ลดลง 2,946 ล้านบาท หรือ 14.3% อยู่ที่ 17,718 ล้านบาท จากการลดลงของดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งรวมผลการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 เพิ่มเติม และ การช่วยเหลือลูกค้าผ่านโครงการ "คุณสู้เราช่วย" 
*** กูรูชี้ กำไรแบงก์โตงวดนี้ อาจเป็นแค่ภาพลวงตา - เห็นสัญญาณอ่อนแอ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กำไรสุทธิกลุ่มงวดไตรมาส 3/68 (8 ธนาคารใหญ่) สูงกว่าฝ่ายวิจัยคาด 9% นำโดย KKP (ดีกว่าตลาด 33% และ ฝ่ายวิจัย 16%) BBL (ดีกว่าตลาด 27% และ ฝ่ายวิจัย 24%) และ KBANK (ดีกว่าตลาด 16% และฝ่ายวิจัย 8%) นอกจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ยังมาจากรายการพิเศษ เช่นการรับรู้เงินลงทุนใน THAI (KTB,TISCO) และ BAY มีการปรับมูลค่าเงินลงทุนใน TIDLOR ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมฯ ก็หนุน TTB ให้มีรายได้ค่าธรรมเนียมฯ สูงสุดในกลุ่มฯ ตามด้วย KBANK ด้านรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ อยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท (-1% QoQ , -8% YoY) ตามสินเชื่อกลุ่มฯ ณ สิ้นงวดไตรมาส 3/68 ราว 13.7 ล้านล้านบาท ลด 1.4% QOQ (-2.3% YTD) และ NIM อยู่ที่ 3.2% ชะลอตัวจาก 3.3% จากไตรมาส 3/67 ที่ 3.6% เป็นไปตามวงจรดอกเบี้ย ส่วนการตั้งสำรองยังทรงตัวเป็นไปตามคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งอยู่ในการบริหารจัดการ แม้ NPL/LOAN กลุ่มฯ ใกล้เคียงสิ้นงวดก่อนที่ 3.8% แต่มาจากฐานสินเชื่อลดลง ในเชิงมูลหนี้ NPL ต่ำลง 1% เช่น TISCO KTB (เลื่อนชั้น THAI ขึ้นเป็น STAGE 2) และ BBL (ลูกหนี้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้จ่ายได้ตามเงื่อนไข) ขณะที่ Coverrage Ratio กลุ่มฯ ขยับมาที่ 185% (BBL ที่ 294% และ KTB ราว 202%) จาก 180% ณ สิ้นงวดก่อน นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/68 ของธนาคารพาณิชย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มาจากกำไรจากเงินลงทุน และค่าธรรมเนียม ส่วนสำคัญคือดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลง ส่งผลให้ลูกค้าย้ายเงินไปกองทุน และ ประกัน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ประกอบกับ ธนาคารแบงค์ที่มีธุรกิจ wealth หรือ บลจ. หรือ ธุรกิจประกัน ที่แข็งแรง จะทำให้มีกำไรมากขึ้นเช่นกัน ขณะเดียวกับธนาคารต่างๆ ก็ดำเนินการลดต้นทุน โดยเฉพาะการลดพนักงาน ลดสาขา ตลอดจนตัดการลงทุนที่ไม่สร้างผลตอบแทนในระยะสั้นให้กับธนาคารควบคู่ไปด้วย "ทำไมเศรษฐกิจไม่ดี แต่แบงก์กำไรดีขึ้น จะมองว่าเป็นภาพลวงตาก็ได้ เพราะกำไรรอบนี้มาจากการลงทุน ส่วนฝั่งดอกเบี้ยกลับเป็นขาลง Bonds ที่ถือก็ราคาขึ้น เห็นได้ว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin : NIM) ทุกรายลดลง รายได้จากดอกเบี้ยลงหมด ลูกค้าก็ไม่กู้เพิ่ม แบงก็ก็เข้มงวดเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ในระยะถัดไป ยังต้องหาแนวทางเพิ่มเติม เพื่อรักษาผลประกอบการ ซึ่งสิ่งที่ยังต้องดำเนินการอยู่ คือ การลดต้นทุน การเพิ่มค่าธรรมเนียม ทั้งจากธุรกิจกองทุน และ ธุรกิจประกัน แต่จะทำแบบนี้ไม่ได้ทุกไตรมาส เพราะส่วนใหญ่เกิดเป็นแบบฝูงนกอพยพ มาวูบนึง ไปวูบนึง"นายปิติ กล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า ยอดคงค้างสินเชื่อ 9 ธนาคาร ณ Q3/68 หดตัวลง 1.2% YoY ต่อเนื่องจากที่หดตัว 1.7% YoY ใน Q2/68 ตามแรงกดดันจากผลของการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ และการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ ด้านความต้องการเบิกใช้สินเชื่อของภาคธุรกิจเพื่อลงทุนในระยะยาวก็ปรับตัวลดลงตามสัญญาณการฟื้นตัวล่าช้าและความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน ผลจากสถานการณ์สินเชื่อที่อ่อนแอ ดอกเบี้ยนโยบายลดลง การช่วยเหลือลูกหนี้ "โครงการคุณสู้เราช่วย" ทำให้ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อ (Yield on Loans) ปรับลดลงเร็วกว่าต้นทุนทางการเงิน (Funding Cost) ซึ่งสะท้อนผ่าน NIM ที่ปรับลดลงมาแล้ว 4 ไตรมาสติดต่อกัน โดย NIM ใน Q3/68 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.18% จาก 3.22% ใน Q2/68 นอกจากนี้ ปัญหาคุณภาพสินเชื่อยังคงต้องการการดูแลต่อเนื่อง แม้ว่าสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ NPL ratio ตามข้อมูลงบการเงินรวมของธนาคารพาณิชย์ 9 แห่ง ขยับสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยมาที่ 3.18% ต่อสินเชื่อรวมใน Q3/68 จากระดับ 3.16% ต่อสินเชื่อรวมใน Q2/68 แต่สินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต หรือ Stage 2 ratio ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงประมาณ 7.38% ของสินเชื่อรวมใน Q3/68 สะท้อนว่า คุณภาพของพอร์ตสินเชื่อยังมีความเสี่ยงที่จะด้อยลงในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะหากแนวโน้มเศรษฐกิจและรายได้ภาคครัวเรือนยังไม่ฟื้นกลับมาเป็นปกติ และมีผลกระทบต่อเนื่องต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
แม้ Q3/68 กลุ่มธนาคารยังสามารถประคองผลการดำเนินงานไว้ได้ แม้รายได้จากธุรกิจหลักยังคงอ่อนแอ โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมที่ขยายตัวแบบไม่ทั่วถึง ยังคงเป็นสภาพแวดล้อมที่ท้าทายการประคองรายได้ของของกลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งปรับตัวลงมาแล้ว 5 ไตรมาสติดต่อกัน (นับตั้งแต่ Q3/67- Q3/68) *** ส่องอนาคต ธนาคารจะไปทางไหน หลังรายได้ดอกเบี้ยอาจไม่ใช่แรงหนุนหลัก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จากข้อมูลงบการเงินรวมของธนาคารพาณิชย์และบริษัทย่อย 9 แห่งที่มีสัญญาณอ่อนแอ สะท้อนว่า ข้อมูลสถานการณ์ภาพรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่ง (ระบบแบงก์ไทย) ที่จะทยอยรายงานตามมาคงจะให้ภาพที่คล้ายคลึงกัน และเมื่อต่อภาพไปในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 68 ประเมินว่า แรงกดดันด้านค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มสูงขึ้นตามปัจจัยด้านฤดูกาล และธนาคารพาณิชย์หลายแห่งน่าจะกลับมามีแนวทางการตั้งสำรองฯ ที่ระมัดระวังเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจไทยซึ่งอาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ โดยคาดว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นโจทย์ที่ท้าทายต่อการประคองผลการดำเนินงานของระบบแบงก์ไทย โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมบางตัวที่ต้องพึ่งพาสภาวะที่เอื้อของตลาดการเงิน รวมไปถึงรายได้จากธุรกิจหลักอย่างการปล่อยสินเชื่อ และเมื่อรวมกับผลของทิศทางดอกเบี้ยในประเทศที่มีโอกาสปรับลดลงอีกก่อนสิ้นปี อาจทำให้ NIM ของระบบแบงก์ไทยชะลอลงไปอยู่ต่ำว่าระดับ 2.72% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 68 (เทียบกับตัวเลขคาดการณ์ NIM ของระบบแบงก์ไทยในไตรมาส 3/68 ที่ 2.80% และตัวเลขจริงของ NIM ในไตรมาส 2/68 ที่ 2.84%) ขณะที่ คาดว่า อัตราส่วนค่าใช้จ่ายสำรองต่อสินเชื่อ (Credit Cost) ของระบบแบงก์ไทยน่าจะยังอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ และปิดปี 68 ที่ระดับประมาณ 1.27% ใกล้เคียงกับปี 67 ซึ่งทิศทางเหล่านี้ ทำให้โจทย์หลักของแบงก์จะกลับมาเป็นเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุนส่วนอื่นๆ เฉพาะหน้า เพื่อประคองความสามารถในการทำกำไรในช่วงดอกเบี้ยขาลงนี้
ส่วนบริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้ม ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ใน Q4/68 ว่า คาดว่ากำไรสุทธิจะลดลงเมื่อเทียบกับ Q3/68 เนื่องจากกำไรจาก กำไรจากตีมูลค่ายุติธรรมเงินลงทุนผ่านงบกำไรขาดทุน (FVTPL) และกำไรจากการลงทุนมีแนวโน้มลดลง เพราะภาวะตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรตั้งแต่ต้นไตรมาสนี้ ดูไม่เอื้ออำนวยเท่ากับไตรมาส 3/68 อย่างไรก็ตาม คาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียม จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากธุรกิจ wealth management ด้านสินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามฤดูกาล แต่ NIM มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานจะสูงขึ้น ซึ่งเป็นปกติของทุกปี สำหรับปี 69 ทาง บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดกำไรสุทธิที่ 2.18 แสนลบ. ลดลง 4% YoY กดดันหลักจากการลดลงของNIM จากทิศทางดอกเบี้ยขาลงเราคาดดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.0% ในช่วงครึ่งแรกปี 69 จากปัจจุบันที่ 1.5% การขยายไปกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ และการลดภาระดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ในโครงการ คุณสู้ เราช่วย - ภาพรวมธุรกิจ สินเชื่อรวมคาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย+2.2%YoY ธนาคารคงเน้นการปล่อยสินเชื่อไปยังกลุ่มที่มีคุณภาพ - รายได้ค่าธรรมเนียม-บริการคาดเพิ่มขึ้นจากการเจาะกลุ่มลูกค้า wealthและBancassurance รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมตลาดทุน - ค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost)คาดลดลง จากธนาคารเร่งจัดการคุณภาพสินทรัพย์ตลอดปี 67-68 รวมถึงการตั้งสำรองพิเศษ (management overlay)เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในอนาคต - Gross NPLคาดเพิ่มขึ้น เพราะความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโดย NPL Ratio คาดอยู่ที่ 3.67% ลงจาก 68 คาดที่3.73% ซึงเป็นระดับที่ธนาคารยังสามารถควบคุมได้ จากความเพียงพอเรื่องการตั้งสำรองต่อพอร์ต Coverage Ratio ยังคงระดับใกล้เคียงกับในอดีตคาดประมาณ 184%

*** ถอดข้อสงสัย หุ้นแบงก์ ยังน่าสนใจลงทุนหรือเปล่า ? จากการสำรวจบทวิเคราะห์ จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ หลังจากผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ประกาศงบ Q3/68 ออกมาล่าสุด ส่วนใหญ่ ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร จากจุดเด่นเรื่องการปันผล โดยบล.กรุงศรีมองว่า ธนาคารส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเงินทุน โดยการปรับเพิ่มเงินปันผล โดยเรามองว่าธนาคารคงจ่ายเงินปันผลในปี 68 ในระดับสูงคิดเป็น dividend yield 6-8% เพราะ 1. ธนาคารมีเงินกองทุนสูงเห็นได้จาก Q2/68 มีเงินกองทุนชั้นที่1ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) ที่ 14-19% เงินกองทุนรวมชั้นที่1(Tier1) ที่ 14-20% และอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน(CAR) ที่19-22% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำและส่วนเพิ่มที่ทาง ธปท.กำหนดไว้ CET1ที่ 8% Tier1ที่ 9.5%และCAR ที่ 12% 2. เงินปันผลระหว่างกาล ครึ่งแรกปี 68 ธนาคารประกาศจ่ายเท่ากับหรือมากกว่าช่วงครึ่งแรกปี 67 3. ธนาคารไม่มีการลงทุนใหม่ขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ปรับ KBANK ขึ้นเป็นTop Pick คู่ KTBเพราะมีโอกาสเห็นการเพิ่มขึ้นของเงินปันผลได้โดยเราชอบKBANK เพราะรักษาระดับเงินปันผลต่อปีdividend yield ที่ราว7% ได้และในอนาคตมีโอกาสเห็นการเงินปันผลพิเศษ และบริหารคุณภาพสินทรัพย์ได้ดีทั้งค่าใช้จ่ายสำรอง(credit cost) และ NPL สำหรับ KTB ชอบเพราะคาดธนาคารสามารถรักษาระดับเงินปันผลdividend yield 7% และมีโอกาสเห็นการปรับเพิ่มได้ในอนาคต และเป็นธนาคารที่มีความเสี่ยงทางด้านคุณภาพสินทรัพย์น้อยจากลูกหนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส เปิดเผยว่า ยังให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็น “Neutral” โดยให้ KKP และ SCB เป็น Top Picks ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ธนาคารส่วนใหญ่ยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ขณะที่ภาคธุรกิจเอกชนยังลังเลที่จะลงทุนและหันไปชำระหนี้แทน ดังนั้นสินเชื่อในปีนี้จะยังหดตัว และ NIM ลดลง ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) อ่อนลง แต่ คาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารโดยรวมจะเติบโต +4.0% YoY โดยได้รับแรงหนุนหลักจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย(Non-NII) อย่างไรก็ดี TISCO และTTB จะมีกำไรลดลงจากต้นทุนเครดิตที่สูงขึ้นและ NIM ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารยังได้รับการสนับสนุนจากคุณภาพสินทรัพย์ที่บริหารจัดการได้ อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูง และ valuation น่าสนใจ ทั้งนี้ KKP และ SCB เป็นหุ้น Top Picks เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับดี และให้เงินปันผลที่น่าดึงดูดใจ บล.เอเซียพลัส คงเลือก KTB (คุณภาพสินทรัพย์แกร่ง) และ SCB (DIV YIELD สูงสุดในกลุ่มฯ) เป็นหุ้นเด่น ในขณะที่ BBL ซึ่งราคายัง LAGGARD กลุ่มฯ มีโอกาสฟื้นตัวตามผลประกอบการ ส่วน KBANK ยังอาจมี SENTIMENT บวกต่อจากรายได้ค่าธรรมเนียมฯ เติบโตดี ด้านธนาคารขนาดกลาง KKP ที่ยังมี UPSIDE เป็นอีกตัวเลือกน่าสนใจ โดยเลือก KTB และ SCB (ปรับจาก NEUTRAL เป็น OUTPERFORM) ทั้งคู่มี ROE งวดครึ่งปีแรกที่ 10% สูงสุดในกลุ่ม D-SIBS และ ในเชิงกลยุทธ์มองว่า TTB ซึ่ง DIV YIELD ครึ่งปีแรกสูงสุดในกลุ่มฯ รวมทั้งมีโครงการซื้อหุ้นคืนถึง 1 ส.ค.68 ช่วยสนับสนุนราคาหุ้นระยะสั้น แม้งบกลุ่มแบงก์ใน Q3/68 และแนวโน้มในระยะส้้น อาจจะยังมีความกังวลซ่อนอยู่ จากบริบทของธุรกิจที่เปลี่ยนไปตามดอกเบี้ยขาลง และจะเผชิญสู่ความท้าทายจาก NIM ที่ลดลงและคุณภาพสินเชื่อที่ต้องเฝ้าระวัง แต่ในมุมมองของนักวิเคราะห์ หุ้นธนาคารก็ยังคงเป็นหลุมหลบภัยที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่เน้นผลตอบแทนสูง เนื่องจากฐานเงินทุนแข็งแกร่ง และคาดว่าจะจ่ายปันผลสูงในระดับ 6-8% ต่อปี โดยมี KTB, KBANK, SCB, และ KKP เป็นตัวเลือกเด่นที่ให้ผลตอบแทนปันผลดีที่น่าสนใจ
ส่วนแนวโน้มที่คาดหวังให้ รายได้ดอกเบี้ยจะกลับมาเป็นกำลังหลักในการทำกำไรของกลุ่มธนาคารนั้น เมื่อมองภาพข้างหน้า จากทั้งภาวะเศรษฐกิจ สถาการณ์การเมือง การเลือกตั้ง นโยบายรัฐบาล และหนี้ครัวเรือนของไทย รวมถึงสถานการณ์ต่างประเทศ อาจจะต้องอุทานด้วยภาษาวัยรุ่นโซเชียลที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้ว่า ... "อาจจะยังน้าาาาา!" 
|