ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนบวกในวันจันทร์ (24 พ.ค.) โดยดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 202.86 จุด จากกระแสคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. ขณะที่นักลงทุนมองข้ามความกังวลต่อมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่ตึงตัว ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 46,448.27 จุด เพิ่มขึ้น 202.86 จุด หรือ 0.44% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,705.12 จุด เพิ่มขึ้น 102.13 จุด หรือ 1.55% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 22,872.01 จุด เพิ่มขึ้น 598.92 จุด หรือ 2.69% ดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดสัปดาห์ในทิศทางบวก โดยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า (Magnificent Seven) กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งส่งผลให้ดัชนีแนสแดคทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ขณะที่รายงานเศรษฐกิจหลายชุดที่ถูกเลื่อนเผยแพร่ เนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลที่ยาวนาน 6 สัปดาห์นั้น สะท้อนสัญญาณอ่อนแรงของตลาดแรงงานและภาวะเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งยิ่งตอกย้ำความคาดหวังว่าเฟดจะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 และถือเป็นครั้งสุดท้ายของปี 2025 ในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ ถ้อยแถลงเชิงผ่อนคลายจากผู้กำหนดนโยบายเฟด อาทิ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์, จอห์น วิลเลียมส์ และแมรี ดาลี ยิ่งช่วยเสริมความเชื่อมั่นดังกล่าว แม้เจ้าหน้าที่บางรายยังมีท่าทีสวนทางก็ตาม โดยโรเบิร์ต พาฟลิก ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนอาวุโสจาก Dakota Wealth กล่าวว่า “ตลาดส่วนใหญ่เริ่มเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยเดือนธ.ค.” โดยข้อมูลจากเครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า ตลาดให้น้ำหนักที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 85% จากเพียง 42.4% เมื่อสัปดาห์ก่อน 
สัปดาห์นี้ ตลาดยังจับตาการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งยอดค้าปลีก, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และคำสั่งซื้อสินค้าคงทน รวมถึงข้อมูลชี้นำจากดัชนีราคาบ้าน S&P Case-Shiller, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ Conference Board และยอดทำสัญญาซื้อบ้านรอปิดการขายของ NAR ขณะที่ฝั่งผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ซึ่งล่วงเข้าสู่ช่วงท้าย โดยกว่า 95% ของบริษัทในดัชนี S&P 500 ต่างรายงานงบแล้ว ซึ่ง 83% ทำกำไรดีกว่าคาดการณ์ ขณะที่นักวิเคราะห์จาก LSEG ประเมินว่า กำไรรวมของดัชนีเติบโต 14.7% เพิ่มขึ้นมากจากคาดการณ์ 8.8% เมื่อ 1 ต.ค. ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P 500 พบว่ากลุ่มสื่อสารปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานและพลังงานเป็น 2 กลุ่มที่ปิดในแดนลบ สัปดาห์นี้ ยังเป็นการเริ่มต้นฤดูกาลจับจ่ายปลายปีของสหรัฐฯ โดยเริ่มจากวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ในวันพฤหัสบดี ซึ่งสถานะความแข็งแกร่งของผู้บริโภค ที่มีสัดส่วนกว่า 70% ของ GDP สหรัฐฯ ถูกจับตาเป็นพิเศษ ท่ามกลางสัญญาณของการเลิกจ้างและผลสำรวจความเชื่อมั่นที่อ่อนแรง แม้สมาพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติคาดว่า ยอดขายช่วงวันหยุดจะทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกก็ตาม ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังรอผลประกอบการจากผู้ค้าปลีกอย่าง Best Buy ที่มีกำหนดรายงานในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อมูลค่าหุ้นเทคโนโลยียังคงอยู่ โดยรายงานผลประกอบการของ Nvidia สัปดาห์ก่อน ยังไม่สามารถคลายความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI ขณะที่ดัชนี S&P 500 และดัชนีแนสแดคยังมุ่งหน้าสู่การปิดเดือนในแดนลบ ทว่าความเชื่อมั่นเริ่มฟื้นตัว หลัง Deutsche Bank ประเมินว่าดัชนี S&P 500 จะพุ่งถึง 8,000 จุดภายในสิ้นปีหน้า ซึ่งถือเป็นคาดการณ์ที่บวกที่สุดในกลุ่มโบรกเกอร์ชั้นนำระดับโลก ด้านความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัว พบว่าหุ้น Bristol-Myers พุ่ง 3.3% หลัง Bayer เปิดเผยข้อมูลเชิงบวกจากการทดลองยารักษาโรคหัวใจ ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อยาต้นแบบ Milvexian ของบริษัท ขณะที่หุ้น Centene และ Oscar Health พุ่งขึ้น 4.6% และ 22.3% ตามลำดับ จากรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังพิจารณาขยายเงินอุดหนุนภายใต้กฎหมายประกันสุขภาพ Affordable Care Act อีก 2 ปี ที่มา Reuters 
|