ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมผสานในวันจันทร์ (3 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดลดลง 226.19 จุด จากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเฮทล์แคร์ ขณะที่ดัชนี S&P 500 และแนสแดคปิดในแดนบวก หลังได้รับแรงหนุนจากดีลในหุ้นกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ (AI) แม้ภาพรวมทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นในระยะสั้นก็ตาม เนื่องจากขาดข้อมูลเศรษฐกิจจากทางการในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ เผชิญกับภาวะชัตดาวน์ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,336.68 จุด ลดลง 226.19 จุด หรือ 0.48% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,851.97 จุด เพิ่มขึ้น 11.77 จุด หรือ 0.17% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,834.72 จุด เพิ่มขึ้น 109.77 จุด หรือ 0.46% ดัชนีดาวโจนส์ถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ หลังหุ้น UnitedHealth Group ลดลง 2.3% และ Merck ลดลง 4.1% ขณะที่ดัชนีแนสแดคทำผลงานได้โดดเด่นโดยมีปัจจัยบวกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่พุ่งแรง โดยหนึ่งในปัจจัยหนุนที่สำคัญมาจากการที่ Amazon ประกาศดีลมูลค่า 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กับ OpenAI เพื่อให้ผู้พัฒนา ChatGPT สามารถดำเนินการขยายการทำงานของระบบ AI บนโครงสร้างคลาวด์ของ Amazon Web Services (AWS) ส่งผลให้หุ้น Amazon พุ่งขึ้น 4.0% ด้านหุ้น Nvidia ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.2% หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่าชิปประมวลผล AI รุ่นใหม่ขั้นสูงของบริษัท จะถูกสงวนไว้สำหรับบริษัทในสหรัฐฯ เท่านั้น และไม่อนุญาตให้ส่งออกไปยังจีนหรือประเทศอื่น ๆ ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวได้เปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ผู้นำทั้ง 2 ประเทศ มีมติตกลงกันเพื่อคลี่คลายสงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก รอส เมย์ฟีลด์ (Ross Mayfield) นักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน กล่าวว่า “ดีลของ Amazon และข่าวควบรวมกิจการอื่น ๆ เป็นตัวกระตุ้นตลาด ขณะเดียวกันข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าสหรัฐฯ–จีน และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดที่ออกมาในเชิงผ่อนคลายนโยบายได้ช่วยหนุนความเชื่อมั่นตลาดเช่นกัน แต่ปัจจัยหลักที่หนุนตลาดมาจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นเช่นนี้เกือบจะตลอดในช่วงตลาดกระทิงรอบนี้” 
ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ พบว่าสหรัฐฯ ยังคงขาดความชัดเจนเนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐ แต่สถาบัน ISM และ S&P Global ได้เผยผลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต ที่บ่งชี้ว่าโรงงานในสหรัฐฯ ยังเผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของทรัมป์ ทั้งนี้ ศาลฎีกาสหรัฐฯ จะเริ่มพิจารณาคดีความชอบธรรมของมาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ในวันพุธนี้ แม้เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ในสัปดาห์ก่อน ทว่าทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินรอบถัดไปกลับเริ่มไม่ชัด เนื่องจากขาดข้อมูลเศรษฐกิจหลักในช่วงที่รัฐบาลปิดทำการ โดยนักลงทุนจับตาข้อมูลการจ้างงานเอกชนจาก ADP ซึ่งจะประกาศวันพุธนี้ เพื่อประเมินสภาวะตลาดแรงงาน โดยก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่เฟด มีความคิดเห็นแตกต่างกัน โดยสตีเฟน มิแรน สนับสนุนการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ขณะที่ออสตัน กูลส์บี แสดงความกังวลต่อการลดดอกเบี้ยในช่วงที่เงินเฟ้อยังอยู่เหนือระดับเป้าหมาย 2% ของเฟด ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่ม ที่คำนวณในดัชนี S&P 500 พบว่าหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด ส่วนหุ้นกลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงมากที่สุด ขณะที่ข้อมูลจาก LSEG บ่งชี้ว่า ในช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ที่กำลังดำเนินอยู่ พบว่ามีบริษัทในดัชนี S&P 500 กว่า 300 แห่งที่รายงานผลแล้ว โดย 83% ของบริษัทเหล่านี้ทำกำไรสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ด้านความเคลื่อนไหวหุ้นรายตัว พบว่าหุ้น Kimberly-Clark ร่วงหนัก 14.6% หลังเปิดเผยแผนเข้าซื้อกิจการ Kenvue ผู้ผลิตยาแก้ปวด Tylenol มูลค่ากว่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หุ้น Kenvue พุ่งขึ้น 12.3% ที่มา Reuters 
|