*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 57.95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 89 เซนต์ หรือ 1.5% สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ปิดที่ 62.48 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 89 เซนต์ หรือ 1.4% โดยทั้ง 2 สัญญาร่วงแตะระดับต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงมากกว่า 1% ในวันอังคาร หลังยูเครนส่งสัญญาณว่าความพยายามทางการทูตอย่างเข้มข้นของสหรัฐฯ เพื่อยุติสงครามรัสเซีย–ยูเครนอาจเริ่มเห็นผล ซึ่งหากสงครามยุติลง อาจนำไปสู่การคลี่คลายมาตรการคว่ำบาตรพลังงานของรัสเซีย และเพิ่มอุปทานเข้าสู่ตลาดโลกในช่วงที่ตลาดน้ำมันกำลังเผชิญความกังวลเรื่องอุปทานล้นในปีหน้า *** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่าได้สั่งการให้คณะเจรจาระดับสูงของสหรัฐฯ เดินทางเข้าพบทั้งฝ่ายรัสเซียและยูเครนเพิ่มเติม เพื่อเร่งหาทางยุติสงคราม แต่ย้ำว่าตนจะพบผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ก็ต่อเมื่อการเจรจาบรรลุข้อตกลงสันติภาพที่ยังคงเป็นเรื่องยากอยู่ในขณะนี้ ทรัมป์ระบุว่า “แผนสันติภาพ 28 ข้อฉบับดั้งเดิม ซึ่งสหรัฐฯเป็นผู้ร่างได้รับการปรับแต่งเพิ่มเติมโดยมีข้อเสนอจากทั้ง 2 ฝ่าย ตอนนี้เหลือจุดเห็นต่างเพียงไม่กี่ข้อ” พร้อมย้ำว่ามีความคืบหน้าอย่างมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ข้อเสนอชุดนี้เมื่อสัปดาห์ก่อน จะสร้างความไม่พอใจอย่างแรงต่อยูเครนและผู้นำยุโรปหลายประเทศ *** กระทรวงการคลังสหรัฐฯ รายงานว่า รัฐบาลกลางขาดดุลงบประมาณ 284,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2026 ตัวเลขดังกล่าวถูกเลื่อนประกาศจากผลกระทบของการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลยาวนาน 43 วัน และสะท้อนรายได้ภาษีศุลกากรที่ทำสถิติสูงสุด แต่ถูกหักล้างด้วยการเลื่อนจ่ายสวัสดิการบางรายการจากเดือนพ.ย. มาอยู่ในข้อมูลเดือนต.ค. ยอดขาดดุลดังกล่าวเพิ่มขึ้น 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 10% จากเดือนต.ค. 2024 ที่มีตัวเลข 257,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีปัจจัยหลักจากการเลื่อนจ่ายสวัสดิการด้านการทหารและสาธารณสุขมูลค่าราว 105,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเข้ามาในเดือนต.ค. ก่อนกำหนด หากปรับผลกระทบของการเลื่อนจ่ายดังกล่าว ตัวเลขขาดดุลต.ค. จะอยู่ที่ประมาณ 180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 29% จากตัวเลขขาดดุลต.ค. 2024 ที่ปรับแล้วอยู่ที่ 252,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ *** ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 0.2% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 0.4% บ่งชี้ว่าผู้บริโภคเริ่มอ่อนล้าจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แม้ยอดใช้จ่ายจะยังคงทรงตัวได้ดีตลอดปี 2025 แต่สัญญาณความอ่อนแรงกำลังชัดเจนขึ้น ยอดขายที่ชะลอลงนี้ เกิดขึ้นหลังจากการขยายตัวต่อเนื่องหลายเดือน และถือเป็นการส่งผ่านที่อ่อนแรงเข้าสู่ไตรมาส 4 นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า ตลาดแรงงานที่กำลังซบเซา เห็นได้จากอัตราว่างงานที่อยู่สูงสุดในรอบ 4 ปี ทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าระมัดระวังมากขึ้น ข้อมูลนี้ยิ่งยืนยันด้วยผลสำรวจของ Conference Board ที่ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคร่วงลงสู่ระดับ 88.7 ในเดือนพ.ย. ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน จาก 95.5 ในเดือนต.ค. และมีจำนวนครัวเรือนลดลงที่วางแผนจะซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ เช่น รถยนต์ บ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใน 6 เดือนข้างหน้า รวมถึงการลดแผนการท่องเที่ยว *** สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ระบบการกำหนดและบริหารอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กำลังเผชิญปัญหาและควรถูกทำให้เรียบง่ายขึ้น หลังนโยบายการเงินยุคใหม่ของเฟด เริ่มซับซ้อนจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเงินตลาด เบสเซนต์กล่าวว่า “เราอยู่ในจุดที่นโยบายการเงินกลายเป็นเรื่องซับซ้อนเกินไป เฟดควรทำให้ทุกอย่างง่ายลง” พร้อมระบุว่าเฟดได้พาประเทศเข้าสู่ระบบสำรองส่วนเกิน (ample-reserves regime) แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า “ระบบดังกล่าวเริ่มสั่นคลอน” โดยไม่ได้อธิบายเพิ่มว่าหมายถึงปัญหาใดโดยเฉพาะ *** โครงการประกันสุขภาพผู้สูงอายุของสหรัฐฯ (Medicare) ระบุว่า ราคายาที่ได้จากการเจรจาต่อรองใหม่สำหรับยา 15 รายการที่มีต้นทุนสูงที่สุด จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงเฉลี่ย 36% เมื่อเทียบกับการใช้จ่ายรายปีล่าสุด ซึ่งจะประหยัดไปได้ราว 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยราคาที่ต่อรองใหม่ จะมีผลบังคับใช้ในปี 2027 โดยหนึ่งในจุดสนใจคือยา semaglutide ของ Novo Nordisk ซึ่งขายในชื่อ Wegovy (ลดน้ำหนัก) และ Ozempic (เบาหวาน) โดย Medicare จะจ่ายราคาใหม่ที่ 274 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน เทียบกับราคาสุทธิของ Ozempic ที่ Medicare เคยจ่ายเฉลี่ย 428 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน 
*** Alibaba Group Holding Ltd. รายงานผลประกอบการไตรมาสก.ย. โดยระบุว่ารายได้จากธุรกิจคลาวด์เติบโตแข็งแกร่ง 34% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ช่วยชดเชยแรงกดดันจากกำไรที่ร่วงแรง หลังบริษัททุ่มงบจำนวนมากทั้งในด้านเงินอุดหนุนผู้บริโภคและการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อรองรับการแข่งขันในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) ธุรกิจคลาวด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของแพลตฟอร์ม Qwen ช่วยผลักดันให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น 5% แตะ 247,800 ล้านหยวน (35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขณะที่รายได้จากอีคอมเมิร์ซในจีนเพิ่มขึ้น 16% สะท้อนว่า Alibaba ยังรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ในศึก 3 ทางกับ JD.com และ Meituan แม้การแข่งขันที่ดุเดือดทำให้ส่วนต่างกำไรหดตัว และกำไรสุทธิถูกฉุดลงราวครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้หุ้น Alibaba ในตลาดสหรัฐฯ ร่วงกว่า 2% *** แอป Qwen ของ Alibaba ทำยอดดาวน์โหลดทะลุ 10 ล้านครั้งภายในหนึ่งสัปดาห์หลังเปิดตัวใหม่ แสดงถึงสัญญาณบวกต่อความพยายามระยะยาวของยักษ์อีคอมเมิร์ซจีนในการต่อกรกับคู่แข่งอย่าง ChatGPT โดยหุ้น Alibaba ในตลาดฮ่องกงพุ่งกว่า 5% ในวันจันทร์ หลังบริษัทเผยตัวเลขดังกล่าวผ่านบล็อกบน WeChat โดยกระแสตอบรับที่รวดเร็วนี้ เกิดขึ้นหลังบริษัทรีแบรนด์แอปเดิมบน iOS และ Android รวมเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ชื่อ Qwen *** โทโมโกะ โยชิโนะ ประธานสหภาพแรงงานญี่ปุ่น (Rengo) เรียกร้องให้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ ดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเพื่อลดภาระเงินเฟ้อ เพื่อให้การปรับขึ้นค่าจ้างของแรงงานสามารถแซงหน้าค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้ โดยโยชิโนะชี้ว่า “ราคาสินค้ายังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเมื่อเงินเยนอ่อนค่ามากเช่นนี้ ต้นทุนนำเข้าก็มีแนวโน้มพุ่งขึ้นไปอีก เราคาดหวังอย่างมากว่ารัฐบาลจะควบคุมราคาสินค้าให้ได้ผลจริง” โดยกล่าวเพิ่มเติมว่า อัตราเงินเฟ้อโดยรวมของญี่ปุ่นควรอยู่ที่ใกล้ 2% มากกว่า 3–4% ที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา *** HP Inc. ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์รายใหญ่ของสหรัฐฯ เปิดเผยประมาณการกำไรปีปัจจุบัน ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ พร้อมระบุว่าจะลดพนักงาน 4,000–6,000 คน ภายในปีงบประมาณ 2028 โดยนำระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในกระบวนการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน เอนริเก โลเรส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ HP ให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทจะประหยัดต้นทุนได้ราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เมื่อถึงปี 2028 จากการปรับลดบุคลากรและการนำ AI มาใช้ในงานด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การบริการลูกค้า งานขาย และกระบวนการผลิต พร้อมย้ำว่า “นี่คือสิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้บริษัทแข่งขันได้ในระยะยาว” *** Dell Technologies Inc. ปรับเพิ่มคาดการณ์ทั้งปีสำหรับตลาด เซิร์ฟเวอร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI servers) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่ สะท้อนอุปสงค์ที่แข็งแกร่งต่อเนื่องในธุรกิจ AI ระดับองค์กร โดยบริษัทเปิดเผยว่าในไตรมาส 3 Dell รับคำสั่งซื้อเซิร์ฟเวอร์ AI มูลค่า 12,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งมอบได้ 5,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมียอดค้างส่งเพิ่มขึ้นเป็น 18,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บริษัทตัดสินใจปรับเพิ่มคาดการณ์การส่งมอบทั้งปีจาก 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ *** Apple Inc. มีแนวโน้มกลับมาครองตำแหน่งผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดของโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2011 จากกระแสตอบรับที่แข็งแกร่งของ iPhone 17 และแรงซื้ออัปเกรดเครื่องของผู้บริโภคทั่วโลก โดย iPhone 17 ที่เปิดตัวในเดือนก.ย. ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในสหรัฐฯ และตลาดสำคัญอย่างจีน โดยช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นระดับ 2 หลัก (double-digit) เมื่อเทียบกับปีก่อนในทั้ง 2 ตลาด ขณะที่ Apple ยังได้อานิสงส์จากบรรยากาศความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีนที่ผ่อนคลายลง และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ซึ่งกระตุ้นยอดซื้อในตลาดเกิดใหม่ *** Volkswagen AG ระบุว่าสามารถลดต้นทุนการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในจีนได้มากถึง 50% สำหรับบางรุ่น ช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันของบริษัทยักษ์ใหญ่จากเยอรมนีในการไล่ตามผู้ผลิตท้องถิ่นอย่าง BYD ที่รุกตลาดอย่างรวดเร็ว โดยปัจจัยสำคัญมาจากศูนย์ทดสอบแห่งใหม่มูลค่า 2,500 ล้านยูโร (2,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเมืองเหอเฟย ซึ่งช่วยบูรณาการกระบวนการด้านซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และการตรวจสอบคุณภาพตัวรถไว้ในที่เดียวกัน ส่งผลให้ต้นทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และช่วยให้กระบวนการพัฒนาเร็วขึ้นราว 30% เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์ม EV รุ่นเก่าที่ใช้ก่อนหน้านี้ โดยการประหยัดดังกล่าวเกิดขึ้นในโครงการเฉพาะ เช่น รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นคอมแพกต์สำหรับตลาดจีน *** ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ในยุโรปเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 4.9% จากปีก่อน สู่ระดับ 1.09 ล้านคัน สะท้อนว่าผู้ผลิตรถยังคงผลักดันรุ่นไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดที่มีราคาจับต้องได้มากขึ้น โดยตลาดสเปนและเยอรมนีเติบโตโดดเด่น ขณะที่สหราชอาณาจักรและอิตาลียังคงทรงตัว ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปเดือนต.ค. ขยับขึ้นแรง โดยรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เพิ่มขึ้นถึง 40% ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) จดทะเบียนเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งในสาม ในบรรดาผู้ผลิตรายใหญ่ Renault เพิ่มขึ้น 11%, กลุ่ม Volkswagen และ BMW ทำผลงานแข็งแกร่งเช่นกัน ขณะที่ BYD พุ่งแรง มียอดจดทะเบียนมากกว่า 3 เท่าในยุโรป ทิ้งห่าง Tesla ที่ยอดร่วงต่อเนื่อง โดยเดือนต.ค. ลดลงถึง 48% 
|