ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนบวกในวันอังคาร (25 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 664.18 จุด หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลายชุดออกมาอ่อนแอ นำไปสู่การคาดการณ์เพิ่มขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 และเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ ในการประชุมนโยบายการเงินประจำเดือนธ.ค. ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีชะลอตัว และเป็นแรงกดดันที่ทำให้ดัชนีแนสแดค ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างจำกัด ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,112.45 จุด เพิ่มขึ้น 664.18 จุด หรือ 1.43% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,765.89 จุด เพิ่มขึ้น 60.76 จุด หรือ 0.91% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,025.59 จุด เพิ่มขึ้น 153.59 จุด หรือ 0.67% ดัชนีหลักทั้ง 3 ปิดในแดนบวก โดยดัชนีดาวโจนส์ทำผลงานโดดเด่นที่สุด ขณะที่ราคาหุ้นของผู้นำปัญญาประดิษฐ์อย่าง Nvidia ร่วงลง 2.6% ทำให้ดัชนีแนสแดคขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย ด้านดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ฟิลาเดลเฟีย ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% แรงหนุนสำคัญมาจากชุดข้อมูลเศรษฐกิจที่เผยแพร่ในวันเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่ออกมาอ่อนแอ และหนุนแนวโน้มว่า คณะกรรมการ FOMC จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% แม้ข้อมูลบางส่วนของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงแรงงานที่เผยแพร่ ได้แก่ ยอดค้าปลีกและดัชนีราคาผู้ผลิตของเดือนก.ย. จะล่าช้าเพราะผลพวงจากภาวะชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อก็ตาม 
ข้อมูลจากทางการระบุว่า ตัวเลขการใช้จ่ายอ่อนแอลง ขณะที่เงินเฟ้อชะลอตัวลง ขณะที่ข้อมูลล่าสุดจาก Conference Board ชี้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคทรุดลงเกินคาด ซึ่งในระยะสั้นร่วงลงเกือบ 12% สะท้อนแรงกดดันต่อภาคครัวเรือน พอล นอลต์ (Paul Nolte) นักกลยุทธ์การตลาดจาก Murphy & Sylvest ระบุว่า ในการประชุมครั้งล่าสุด เจอโรม พาวเวลล์ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจคงดอกเบี้ย เนื่องจากขาดข้อมูลประกอบ แต่หลังการให้ความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดหลายราย ตลาดได้เปลี่ยนจากมุมมองว่าเฟดจะไม่ทำอะไรในเดือนธ.ค. ไปเป็นเฟดควรลดดอกเบี้ยเพราะตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอจริงจัง ตลาดการเงินตอบรับทันที โดยให้น้ำหนัก 84.7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้นจากเพียง 50.1% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รวมถึงยังได้แรงหนุนจากความเห็นของจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟด สาขานิวยอร์ก และคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟด ที่สนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงิน อีกประเด็นที่ตลาดให้การจับตามองคือ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ที่ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเสนอชื่อผู้สืบทอดตำแหน่งประธานเฟดภายในเทศกาลคริสต์มาส โดยมีชื่อ เควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาว ซึ่งมีมุมมองสนับสนุนการผ่อนคลายนโนยบายการเงิน ถูกมองว่าเป็นตัวเต็ง ตลาดจึงคาดว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในปี 2026 หุ้น 11 กลุ่ม ที่คำนวณในดัชนี S&P 500 พบว่าหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ ทำผลงานได้โดดเด่นมากที่สุด ขณะที่กลุ่มพลังงานร่วงแรงที่สุด แม้ยอดค้าปลีกที่อ่อนแอเกินคาดและตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ซบเซา จะทำให้เกิดความกังวลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่ผลประกอบการเชิงบวกของผู้ค้าปลีกหลายรายช่วยดันดัชนีหุ้นกลุ่มค้าปลีกใน S&P 500 ขยายตัว 2% ด้านความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวที่โดดเด่น พบว่าหุ้น Kohl's พุ่ง 42.5% และหุ้น Abercrombie & Fitch ทะยานขึ้น 37.5% หลังบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรทั้งปี ขณะที่ Burlington Stores ร่วง 12.2% หลังรายได้ไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาด ฝั่งหุ้น เทคโนโลยี หุ้น Alphabet เพิ่มขึ้น 1.5% หลังมีรายงานว่า Meta อาจใช้ชิป AI ของ Google ในศูนย์ข้อมูลตั้งแต่ปี 2027 และอาจเริ่มเช่าชิปจาก Google Cloud ภายในปีหน้า ส่งผลให้หุ้น Meta เพิ่มขึ้น 3.8% ขณะที่หุ้น Alibaba ในสหรัฐฯ ร่วง 2.3% แม้รายได้ไตรมาสล่าสุดสูงกว่าคาดการณ์ก็ตาม ที่มา Reuters 
|