บริษัทจดทะเบียนในจีนเกือบ 1 ใน 4 รายรายงานผลขาดทุนสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 ซึ่งถือเป็นสัดส่วนสูงสุด นับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลในปี 2002 หลังได้รับผลกระทบจากการผลิตส่วนเกินและอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ ผลวิเคราะห์ของ Nikkei Asia ซึ่งครอบคลุมบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินราว 5,300 แห่งในตลาดจีน พบว่า 24% ของบริษัทเหล่านี้ อยู่ในภาวะขาดทุน โดยเพิ่มขึ้น 1 จุดเปอร์เซ็นต์จากปีก่อน และสัดส่วนดังกล่าว เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากระดับต่ำสุดที่ 7% ในปี 2017 ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของดีมานด์ในประเทศที่ช้าหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยในช่วงเดือนม.ค.–ก.ย. ปีนี้ บริษัทราว 30% มีผลกำไรลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปี และมีเพียงประมาณ 40% เท่านั้น ที่มีกำไรเติบโต อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ยังคงประสบภาวะซบเซาอย่างมาก นับตั้งแต่รัฐบาลเริ่มควบคุมสินเชื่อในปี 2020 ซึ่งในจำนวนผู้พัฒนาอสังหาฯ 100 แห่ง พบว่ามีถึง 48 แห่ง ที่เผชิญภาวะขาดทุนใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2025 โดยทั้งอุตสาหกรรมมีผลขาดทุนรวม 64,700 ล้านหยวน (9,140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยยอดขายบ้านใหม่ตามพื้นที่ลดลง 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน China Vanke ขาดทุนมากที่สุด ในบรรดาบริษัทที่จดทะเบียนทั้งหมด โดยอยู่ที่ 28,000 นล้านหยวน และยังเผชิญความปั่นป่วนภายในองค์กร หลังผู้บริหารระดับสูงลาออกก่อนครบ 1 ปี ขณะที่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ เช่น การก่อสร้าง ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยกว่า 30% ของบริษัทในภาคนี้ ล้วนเผชิญภาวะขาดทุน 
ขณะเดียวกัน หลายอุตสาหกรรมก็เผชิญปัญหาดีมานด์ต่ำกว่าซัพพลาย ส่งผลให้การแข่งขันด้านราคาหนักขึ้นและบั่นทอนความสามารถในการทำกำไร โดยตัวอย่างที่ชัดเจน คืออุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งบริษัทรายใหญ่อย่าง Jinko Solar รายงานผลขาดทุน แม้บางรายวางแผนขยายธุรกิจกักเก็บพลังงาน แต่ความพยายามฟื้นตัว อาจยิ่งทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต ขณะที่ภาคยานยนต์ ค่ายผู้ผลิต 6 จาก 21 ราย เผชิญภาวะขาดทุนในช่วง 3 ไตรมาสแรก โดยกำไรรวมของอุตสาหกรรมลดลง 10% ซึ่งรัฐวิสาหกิจ Guangzhou Automobile Group ขาดทุน 4,300 ล้านหยวน ส่วน BYD มีกำไรลดลง 8% ด้านปริมาณยอดขายรถใหม่เติบโต 13% สู่ 24.36 ล้านคัน โดยได้แรงหนุนจากมาตรการอุดหนุนเพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนรถใหม่ อย่างไรก็ดี ราคาของรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ยังคงลดลง ซึ่งทางการจีนดูเหมือนจะยอมรับระดับราคาที่ลดลง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ ด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ภาคส่วนที่ทำผลงานเติบโตได้อย่างโดดเด่น หลังได้รับประโยชน์จากเงินอุดหนุน มาตรการลดภาษี และนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมชิป เพื่อผลักดันการพึ่งพาตนเอง ซึ่งกำไรรวมของภาคส่วนนี้ เพิ่มขึ้นถึง 50% จากปีก่อน เร่งขึ้นอย่างมากจาก 23% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจรับผลิตชิป (foundry) การออกแบบ การพัฒนา และอุปกรณ์การผลิต ทั้งนี้ กำไรรวมของบริษัททั้งหมดราว 5,300 แห่ง เพิ่มขึ้นเพียง 2% โดยพึ่งพาการเติบโตของบางอุตสาหกรรม ที่ได้แรงหนุนนโยบายรัฐเป็นหลัก อีกทั้ง ยอดรวมยังลดลงราว 10% จากจุดสูงสุดในปี 2022 ที่มา Nikkei Asia

|