
บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย และผู้บริหารฉาวไม่เลิก ล่าสุดถึงคิวของ "จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์" อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) หรือที่รู้จักกันในนาม "เจ๊แอน" หลัง 21 พ.ย.ที่ผ่านมา "สนธิ ลิ้มทองกุล" ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า "เจ๊แอน" ได้หอบเงินกว่า 6 พันล้านบาท แปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัลหนีออกนอกประเทศไทย มุ่งหน้าสู่เม็กซิโก หลังได้รับความช่วยเหลือจาก "ราอูล โรชา คานตู" นักธุรกิจชาวเม็กซิกัน ช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องการขอสัญชาติเม็กซิโกให้กับ "เจ๊แอน"
ภายหลัง "สนธิ ลิ้มทองกุล" ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวไม่นาน ทาง JKN ก็ไม่อยู่เฉย ได้มีการใช้สื่อของตัวเองแก้ข่าวดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด !
อย่างไรก็ตาม ความจริงค่อย ๆ ปรากฏขึ้น เมื่อ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา ศาลแขวงพระนครใต้ได้ออกหมายจับ "เจ๊แอน" หลังไม่เดินทางมาศาลเพื่อรับฟังคดีที่ถูก "หมอเส" นพ.ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.มาสเตอร์ สไตล์ (MASTER) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) และ "จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์" เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงด้วยการชักชวนให้ซื้อหุ้นกู้ JKN ในช่วง 24 ก.ค. - 8 ส.ค.2566
โดย "หมอเส" ระบุว่า "เจ๊แอน" ทราบดีอยู่แล้วว่า สถานะทางการเงินของ JKN ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด แต่ยังหลอกลวงจนได้ทรัพย์สินจาก "หมอเส" ไป 30 ล้านบาท จึงได้เข้าแจ้งความ ซึ่งหลังข่าวดังกล่าวแพร่สะพัดออกไป ก็ได้มีรายงานอีกว่า "เจ๊แอน" ได้เดินทางออกจากประเทศไทยตั้งแต่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมาแล้ว และมีแนวโน้มสูงที่จะไม่ได้เดินทางกลับมาฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าว ที่ศาลนัดใหม่ 26 ธ.ค.นี้ อีกด้วย
ภายหลังที่ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มชัดเจนแล้วว่า "เจ๊แอน" ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยแล้ว คนที่น่าจะช้ำใจจาก "เจ๊แอน" รายล่าสุด คงหนีไม่พ้น "บอสณวัฒน์" หรือ "ณวัฒน์ อิสรไกรศีล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MGI) ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นคู่กัดกับ "เจ๊แอน" มาตลอด
แต่ก็เกิดเซอร์ไพรส์ขึ้น เพราะจู่ ๆ "ณวัฒน์ อิสรไกรศีล" กับ "จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์" ดันมาจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจนางงามซะอย่างงั้น โดย MGI ได้เข้าซื้อสิทธิ์การจัดประกวด Miss Univesre Thailand (MUT) จาก JKN ระยเวลา 5 ปี (ปี 2568-2572) ใช้เงินลงทุนกับดีลนี้ไป 180 ล้านบาท
อีกทั้ง MGI ยังได้อนุมัติเข้าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ JKN แบบเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 100 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 50 ล้านบาท ซึ่งการซื้อหุ้นนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการอนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการของ JKN โดยศาลล้มละลายกลาง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีการจัดประกวด Miss Univesre ก็มีเรื่องวุ่น ๆ เกิดขึ้นเพราะได้มีทีมงานจากเม็กซิโก ให้ผู้เข้าประกวดถ่ายคลิปวิดีโอโปรโมทเว็บพนันออนไลน์ จึงทำให้ "บอสณวัฒน์" ถึงกับต้องแจ้งความให้ตำรวจไทยเข้าดำเนินคดี ก่อนจะประกาศยกเลิกซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวของ JKN ทันที เนื่องจากเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อการดำเนินธุรกิจของ JKN อีกต่อไปแล้ว
ขณะที่ เมื่อย้อนทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับ "เจ๊แอน" และ JKN ตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นไทยเมื่อ 30 พ.ย.2560 พบว่า มีคดียาวเป็นหางว่าว โดยภายหลังจาก JKN ขาย IPO เข้าตลาดหุ้นไทยที่ราคา 8 บาท/หุ้น (ได้เงินระดมทุนไป 3,100 ล้านบาท)
ในปีต่อมาราคาหุ้น JKN ก็ทำจุดสูงสุด (All Time High) ทันที ที่ราคา 12 บาท/หุ้น หรือเพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อน จากกำไรสุทธิที่ทำได้ 227 ล้านบาท เติบโตขึ้น 116% จากปีก่อน อีกทั้ง กำไรสุทธิของ JKN ยังเติบโตต่อเนื่องอีก 2 ปีติด โดยปี 2562 มีกำไรสุทธิ 252 ล้านบาท และปี 2563 มีกำไรสุทธิ 312 ล้านบาท
ทว่า เมื่อเข้าสู่ปี 2564 ก็เริ่มส่งสัญญาณให้ใคร ๆ ได้เริ่มเห็นบ้างแล้ว เนื่องจากในช่วงนั้นรัฐบาลได้มีการปลดล็อคพืชกัญชงกัญชา ทำให้บริษัทใดที่ประกาศแผนธุรกิจว่าจะเข้าไปดำเนินธุรกิจดังกล่าว ราคาหุ้นตอบสนองเชิงบวกอย่างรุนแรงทุกบริษัท
นั่นเองจึงทำให้ "เจ๊แอน" ไม่ยอมตกเทรนด์ดังกล่าวด้วย โดยได้มีการโพสต์โซเชียลมีเดียข้อความว่า "กัญชง+18=รวย" นัยยะที่ถูกซ่อนจากโพสต์นี้สื่อความหมายว่า JKN กำลังจะเข้าสู่ธุรกิจกัญชงกัญชา และกำลังจะเข้าซื้อทีวีดิจิทัลช่อง 18 ของกลุ่มตระกูลเดลินิวล์นั่นเอง
ภายหลังโพสต์ดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ ได้สร้างความฮือฮากับด้อม ๆ ของ "เจ็แอน" เป็นอย่างมาก กระแสต่างออกมาชื่นชมถึงวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจของ CEO คนเก่ง เช่นเดียวกับราคาหุ้นที่ก็พุ่งแรงตามกระแสหุ้นกัญชงในช่วงนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ตั้งข้อสงสัยว่าโพสต์โซเชียลมีเดียแบบนี้ก็ได้หรือ ?
ทำให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อยู่เฉยไม่ได้ สั่งลงโทษทางแพ่งกับ "จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์" ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ JKN กรณีเผยแพร่ข้อความอันอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของ JKN ในลักษณะที่มีผลกระทบต่อราคาหุ้น โดยให้ชำระค่าปรับ 2.16 ล้านบาท เมื่อ 28 พ.ค.2564
หลังจากที่ผลการดำเนินงานของ JKN มีกำไรสุทธิมาตลอดนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเมื่อปี 2560 แต่ปี 2566 อาจจะพูดได้ว่าเป็นจุดน๊อคเอ้าท์ของ JKN ก็ว่าได้ เพราะปีดังกล่าว JKN รายงานขาดทุนสุทธิ 2.1 พันล้านบาท เทียบปีก่อนมีกำไรสุทธิ 608 ล้านบาท (กำไรสุทธิสูงสุดนับตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นไทย)
สาเหตุหลักเป็นเพราะทุกสิ่งประเดประดังเข้ามาจากการลงทุนที่เกินกำลัง โดยเริ่มต้นขึ้นในช่วงเดือน ต.ค.2565 ที่ทาง JKN ได้อนุมิติเงินลงทุน 800 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อกิจการ Miss Universe Organization อย่างเป็นทางการ ทำให้ผลการดำเนินงานปี 2566 ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์และเงินลงทุน ซึ่งรวมกันมากกว่า 1 พันล้านบาท
แบ่งเป็น ขาดทุนจากการด้อยค่าลิขสิทธิ์คอนเทนต์ราว 842 ล้านบาท, ขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อย 619 ล้านบาท และขาดทุนจากการด้อยค่าเครื่องหมายการค้าและค่าความนิยมประมาณ 272 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน JKN ยังต้องมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้การค้าประมาณ 495 ล้านบาท เหตุลูกค้ากลุ่มธุรกิจสื่อดั้งเดิม ซึ่งเป็นลูกค้าหลักในการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ของ JKN ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ทำให้การเรียกเก็บหนี้ทำได้ยากขึ้น
มิหนำซ้ำรายได้ธุรกิจให้บริการและจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ยังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะงวดไตรมาส 4/2566 เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคหันไปสู่ออนไลน์มากขึ้น และรายได้โฆษณาสื่อโทรทัศน์ดั้งเดิมลดลง ส่งผลให้ลูกค้าหลักมีกำลังซื้อลดลง
นอกจากนี้ JKN ยังโดนซ้ำเติมด้วยต้นทุนการจัดการประกวด Miss Univers ที่สูงขึ้น เพราะในปีนี้มีการจัดการประกวดนางงามเวทีดังกล่าวถึง 2 ครั้ง คือช่วงเดือน ม.ค.2566 และเดือน พ.ย.2566 ส่งผลให้ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ปี 2566 ทาง JKN ได้มีการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้มูลค่า 609 ล้านบาทด้วย โดยเริ่มต้นจากหุ้นกู้รุ่น JKN239A ครบกำหนดชำระ 1 ก.ย.2566 แต่บริษัทแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าไม่สามารถชำระเงินต้นที่ค้างเต็มจำนวนได้ทำให้เกิดการผิดนัดชำระหุ้นกู้รุ่นดังกล่าว
และต่อมาก็ได้เกิดผิดนัดชำระต่อเนื่อง (Cross Default) หุ้นกู้อีก 6 รุ่น ประกอบด้วย JKN246A, JKN243A, JKN240A, JKN24NA, JKN252A และ JKN255A
เมื่อผิดนัดชำระหุ้นกู้ไปแล้ว แน่นอนว่าสภาพคล่องของ JKN กำลังมีปัญหาอย่างแน่นอน "เจ๊แอน" ที่กำลังมืดแปดด้าน จึงใช้วิธีแอบขายหุ้น JKN Legacy บริษัทย่อยของ JKN ที่ถือลิขสิทธิ์ Miss Universe ให้กับบริษัทของ "ราอูล โรชา คานตู" ในวันที่ 20 ต.ค.2566 แล้วค่อยมาเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เมื่อ 22 ม.ค.2567
ทำให้ ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่งกับ JKN และ "เจ๊แอน" ฐานเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ หรืออาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับการขยายธุรกิจองค์กรนางงามจักรวาล (MUO) อีกทั้ง ก.ล.ต. ยังสั่งห้ามไม่ให้ "จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์" ดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนเป็นเวลา 56 เดือน อีกด้วย
ระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้น ก.ล.ต.ยังได้กล่าวโทษ JKN และ "เจ๊แอน" ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งงบการเงินปี 2566 โดยการแสดงยอดหนี้สิน และสินทรัพย์ที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตามกฏหมายหลักทรัพย์
จากข่าวฉาวที่ออกมา ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯต้องขึ้นเครื่องหมายหยุดพักซื้อขาย (SP) หุ้น JKN ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ อีกทั้ง ราคาหุ้น ก็ปรับตัวลงอย่างรุนแรง โดยราคาสุดท้ายอยู่ที่ 0.80 บาท/หุ้น ลดลง 90% จากราคาเสนอขาย IPO พร้อมทั้งมีผู้ถือหุ้นรายย่อยอยู่อีกราว 2 หมื่นราย
พอน้ำลดตอก็เริ่มผุดมาเรื่อย ๆ ล่าสุด สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ยังได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลอีกว่า ตามที่มีข่าวว่า JKN ได้รับ CG Score 100 เต็มติดต่อกัน 4 ปี (ปี 2564-2568) ไม่เป็นความจริง โดย IOD ยังให้ข้อมูลอีกว่า ในช่วงปี 2564 - 2565 ทาง JKN ไม่ถูกประเมิน CG Score เนื่องจากถูกเปรียบเทียบปรับโดย ก.ล.ต.
ส่วนปี 2566 ได้ระดับ 4 ดาว (โดยไม่มีเครื่องหมายดอกจันกำกับ) สะท้อนว่ามีประเด็นสำคัญที่ผู้ลงทุนควรทราบ ขณะที่ปี 2567 ไม่ถูกประเมิน เนื่องจากบริษัทเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ และปี 2568 ไม่ถูกประเมิน เนื่องจาก JKN เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนหุ้นจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
อย่างไรก็ตาม "เจ๊แอน" ไม่ใช่ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนรายแรกที่มีคดีฉาวแบบนี้เกิดขึ้น เพราะถ้าย้อนไปดูข่าวเก่า ๆ จะพบว่า ระยะหลังแทบทุกปีมีผู้บริหารที่มีพฤติกรรมคล้าย ๆ "จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์" มานับไม่ถ้วนแล้ว ซึ่งถ้าถามใจหลาย ๆ คนว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยอีกไหม ? เชื่อว่าแทบจะ 100% คงลงความเห็นว่าในอนาคตคงจะได้เห็นคดีแนว ๆ นี้ตามมาอีกอย่างแน่นอน
ดังนั้น สปอตไลท์จึงต้องถูกฉายกลับไปที่ ก.ล.ต. และ ตลท. อีกครั้ง ว่า หลังจากนี้จะมีวิธีคัดกรองหุ้นเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างไร เพื่อให้ได้บริษัทที่มีคุณภาพ และมีธรรมาภิบาลในการดำเนินงาน ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นไทยกลับมาอีกครั้ง
หากยังไม่สามารถหาวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ปริมาณซื้อขายเฉลี่ย/วัน ในตลาดหุ้นไทย ก็คงค่อย ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนจำนวนไม่น้อยขาดความเชื่อมั่นกับหุ้นไทยไปมาก มิหนำซ้ำทางเลือกในการลงทุนยุคนี้ยังมีอีกมากมาย ตลาดหุ้นไทยจึงไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไปแล้ว !