*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 61.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 29 เซนต์ หรือ 0.5%
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ปิดที่ระดับ 65.94 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลลดลง 5 เซนต์ หรือ 0.1%
ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงในวันศุกร์ (24 ต.ค.) ท่ามกลางความแคลงใจของนักลงทุน เกี่ยวกับความจริงจังของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซีย 2 แห่ง
*** ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ย. ของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่ล่าช้ากว่ากำหนด พบว่าออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจเปิดทางให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมหลังการประชุมในสัปดาห์นี้
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงานที่มีความผันผวนสูง เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนส.ค. ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ นับเป็นอัตราเพิ่มขึ้นที่ช้าที่สุดในรอบ 3 เดือน และได้รับแรงหนุนจากการปรับขึ้นของต้นทุนที่อยู่อาศัยซึ่งอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2021
ข้อมูลดังกล่าวนับเป็นข่าวดี โดยเฉพาะสำหรับเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน ที่ยังกังวลต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง แม้ตลาดได้คาดการณ์อยู่แล้วว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้ แต่นักลงทุนมองว่ารายงานฉบับนี้ อาจช่วยโน้มน้าวให้คณะกรรมการเห็นพ้องที่จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค. โดยเฉพาะหากไม่มีรายงานเงินเฟ้อ ฉบับใหม่ออกมา
*** ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เดินหน้าปรับปรุงกระบวนการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ประจำปี สำหรับธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของภาคธนาคาร หลังสถาบันการเงินต่าง ๆ วิพากษ์วิจารณ์มาอย่างยาวนานว่ากระบวนการดังกล่าวขาดความโปร่งใสและสร้างภาระเกินจำเป็น
ข้อเสนอที่คณะผู้ว่าการเฟดให้การอนุมัติในครั้งนี้ จะเปิดเผยข้อมูลให้ธนาคารทราบมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่เฟดดำเนินการทดสอบประจำปี โดยจะมีการเปิดรับความคิดเห็นต่อแบบจำลองที่เคยเป็นความลับ รวมถึงเปิดเผยขั้นตอนการออกแบบ สถานการณ์เศรษฐกิจสมมติ ที่ใช้เป็นพื้นฐานในการประเมินความแข็งแกร่งของระบบธนาคารในแต่ละปี
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เตรียมเดินหน้าเจรจาดีลด้านภาษีการค้าในทริปเยือนเอเชีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากนโยบายการค้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการพบปะที่หลายฝ่ายจับตาระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน โดยประธานาธิบทรัมป์ ออกเดินทางจากกรุงวอชิงตันในคืนวันศุกร์ มุ่งหน้าสู่การเยือนประเทศมาเลเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นเวลา 5 วัน ซึ่งถือเป็นการเดินทางเยือนเอเชียครั้งแรกและเป็นทริปต่างประเทศที่ยาวที่สุดนับตั้งแต่เขาเริ่มดำรงตำแหน่งในเดือนม.ค.
*** สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เปิดการสอบสวนรอบใหม่เกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีจากจีน ภายใต้ข้อกล่าวหาว่าจีนไม่ปฏิบัติตามพันธกรณี ในข้อตกลงการค้าเฟสแรก ที่ลงนามร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปี 2020 ซึ่งมีเป้าหมายยุติสงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศ
การสอบสวนครั้งนี้อยู่ภายใต้กฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 แห่งปี 1974 ซึ่งเปิดทางให้ทรัมป์มีอำนาจเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนได้อีก โดยประกาศของ USTR มีขึ้นเพียงหนึ่งวันก่อนการเปิดการเจรจารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ว่าด้วยการควบคุมการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ
*** สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า จีนจะดำเนินการซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ในปริมาณจำนวนมาก ภายหลังการเจรจากับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ซึ่งสะท้อนถึงสัญญาณการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศ โดยเบสเซนต์กล่าวหลังเสร็จสิ้นการเจรจาเป็นเวลา 2 วันกับ เหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงรายอื่นในศมาเลเซีย ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์ระบุว่า ทั้ง 2 ฝ่ายได้บรรลุฉันทามติเบื้องต้น ในประเด็นทวิภาคีหลายด้าน รวมถึงภาคการเกษตร
*** เจ้าหน้าที่เศรษฐกิจระดับสูงของสหรัฐฯและจีน บรรลุกรอบข้อตกลงทางการค้า ซึ่งจะถูกเสนอให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พิจารณาในปลายสัปดาห์นี้ โดยข้อตกลงดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีน โดยสก็อตต์ เบสเซนต์ ระบุว่า การเจรจาระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน สามารถขจัดความเสี่ยง ที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 100% ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. ได้สำเร็จ พร้อมเผยด้วยว่าจีนมีแนวโน้มจะเลื่อนการบังคับใช้ระบบใบอนุญาตส่งออกแร่หายากและแม่เหล็กออกไปอีก 1 ปี เพื่อเปิดทางให้มีการทบทวนนโยบายดังกล่าวใหม่
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยชุดข้อตกลงทางการค้าหลายฉบับในวันแรกของการเยือนเอเชีย โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมความมั่นคงด้านการเข้าถึงแร่สำคัญ (critical minerals) และขยายตลาดส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ก่อนการประชุมสำคัญกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน โดยทรัมป์กล่าวระหว่างการประชุมสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ว่า “เนื้อหาที่ผมอยากส่งถึงชาติสมาชิกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือ สหรัฐฯอยู่เคียงข้างพวกคุณ 100% และเรามุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรและมิตรที่เข้มแข็งต่อไปอีกหลายชั่วอายุคน”
ในส่วนหนึ่งของข้อตกลงดังกล่าว สหรัฐฯ เสนอการยกเว้นอัตราภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) สำหรับสินค้าส่งออกหลักจากประเทศไทย กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย เพื่อสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค *** สหรัฐฯ ลงนามข้อตกลงการค้าและแร่สำคัญ (critical minerals) หลายฉบับกับ 4 ชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความไม่สมดุลทางการค้าและกระจายห่วงโซ่อุปทาน ท่ามกลางมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากที่เข้มงวดขึ้นจากจีน
ตามแถลงการณ์ร่วมจากทำเนียบขาว สหรัฐฯ จะคงอัตราภาษีนำเข้าที่ 19% สำหรับสินค้าส่งออกจากทั้ง 3 ประเทศ แต่จะมีการลดภาษีเป็นศูนย์สำหรับสินค้าบางประเภทที่กำหนดไว้ในภายหลัง ด้านรัฐบาลมาเลเซียยืนยันว่าจะ ไม่ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อความพยายามของสหรัฐฯ ในการรักษาความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานด้านแร่สำคัญในภูมิภาค

*** สหรัฐฯและไทย ประกาศกรอบความร่วมมือทางการค้าแบบต่างตอบแทน (reciprocal trade framework) โดยสหรัฐฯ จะคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไว้ที่ 19% แต่จะมีการระบุสินค้าบางรายการที่อาจได้รับการปรับลดภาษี หรือยกเลิกภาษีเป็นศูนย์ในอนาคต ในขณะเดียวกัน ไทยจะยกเลิกอุปสรรคทางภาษีสำหรับสินค้าประมาณ 99% ของทั้งหมด ครอบคลุมทั้งสินค้าอุตสาหกรรม อาหาร และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ ไทยยังให้คำมั่นว่าจะเร่งแก้ไขอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของการยอมรับยานยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่าง 2 ประเทศให้มีความสมดุลและเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงระหว่าง ไทยและกัมพูชา เพื่อบริหารจัดการข้อพิพาทชายแดน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงหยุดยิงที่ทรัมป์มีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ย ขณะที่เขากำลังเดินหน้าสร้างผลงานในเวทีนานาชาติเพื่อหนุนการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งพิธีลงนามครั้งนี้ จัดขึ้นที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย และ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ร่วมลงนามในข้อตกลงอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางการร่วมเป็นสักขีพยานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ทรัมป์กล่าวในพิธีว่า “นี่เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก เพราะเราได้ทำในสิ่งที่หลายคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ และอาจช่วยชีวิตผู้คนนับล้านไว้ได้”
*** ทำเนียบขาวแถลงว่า สหรัฐฯและเวียดนาม จะสรุปข้อตกลงทางการค้าอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยข้อตกลงดังกล่าวจะคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่จากเวียดนามไว้ที่ 20% แต่จะมีการยกเลิกภาษีบางรายการ ซึ่งจะมีการพิจารณาในภายหลัง ในทางกลับกัน เวียดนามให้คำมั่นว่าจะมอบสิทธิการเข้าถึงในอัตราพิเศษ (preferential access) สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศ
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกกฎควบคุมมลพิษทางอากาศที่ออกในยุคของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดขึ้นสำหรับโรงหลอมทองแดง โดยกฎดังกล่าว ซึ่งประกาศใช้ในเดือนพ.ค. 2024 บังคับให้โรงหลอมทองแดงต้องลดการปล่อยมลพิษหลายประเภท รวมถึงสารตะกั่ว สารหนู ปรอท เบนซีน และไดออกซิน ภายใต้มาตรฐานอากาศของรัฐบาลกลางที่ได้รับการปรับปรุงใหม่
ภายใต้คำประกาศของทรัมป์ โรงหลอมทองแดงและแหล่งกำเนิดมลพิษประจำที่ (stationary sources) จะได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามกฎดังกล่าวเป็นเวลา 2 ปี โดยทำเนียบขาวระบุว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ ส่งเสริมความมั่นคงด้านแร่ของสหรัฐฯ ด้วยการลดภาระกฎระเบียบต่อผู้ผลิตทองแดงภายในประเทศ
*** นายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ ของแคนาดา กล่าวว่า แคนาดาพร้อมกลับมาเปิดการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อีกครั้ง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งระงับการเจรจาเนื่องจากไม่พอใจโฆษณาต่อต้านภาษีนำเข้าที่ออกโดยรัฐบาลมลรัฐออนแทรีโอ โดยทรัมป์ประกาศยุติการเจรจาเมื่อวันพฤหัสบดี หลังมีการเผยแพร่วิดีโอที่อ้างคำพูดของอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของพรรครีพับลิกัน โดยมีเนื้อหาว่า “ภาษีนำเข้าทำให้เกิดสงครามการค้าและหายนะทางเศรษฐกิจ” ซึ่งทรัมป์โพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดีย โดยระบุว่าโฆษณาดังกล่าว “เป็นการหลอกลวง”
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาเพิ่มอีก 10% เพื่อตอบโต้โฆษณาที่จัดทำโดยมลรัฐออนแทรีโอ ซึ่งวิพากษ์นโยบายภาษีของเขา ถือเป็นการยกระดับความตึงเครียดในความสัมพันธ์ทางการค้าระดับทวิภาคีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยทรัมป์กล่าวว่า “เนื่องจากพวกเขาบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างร้ายแรงและแสดงท่าทีไม่เป็นมิตร ผมจึงตัดสินใจขึ้นภาษีแคนาดาอีก 10% จากอัตราที่พวกเขาจ่ายอยู่ในปัจจุบัน”
สหรัฐฯ ไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าสินค้าประเภทใดจะได้รับผลกระทบจากมาตรการใหม่นี้ ขณะที่ปัจจุบัน แคนาดาเผชิญภาษีที่ 35% แต่สินค้าส่วนใหญ่ได้รับการยกเว้นตามข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ–เม็กซิโก–แคนาดา (USMCA) ซึ่งทำให้สินค้าสำคัญ เช่น น้ำมันดิบยังคงส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้โดยปลอดภาษี
*** สโคป บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของยุโรป ปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ลงหนึ่งขั้น โดยให้เหตุผลถึงการเสื่อมถอยอย่างต่อเนื่องของฐานะการคลังภาครัฐและมาตรฐานธรรมาภิบาลที่อ่อนแอลง โดยสโคป ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือผู้ออกตราสารระยะยาวและหนี้ไม่มีหลักประกันอาวุโส (ทั้งสกุลเงินในประเทศและสกุลเงินต่างประเทศ) ของสหรัฐฯ จาก “AA” ลงสู่ “AA-” พร้อมทั้งปรับมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) จาก “เชิงลบ” เป็น “มีเสถียรภาพ” โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องปิดหน่วยงานจำนวนมากเมื่อวันที่ 1 ต.ค. เนื่องจากพรรครีพับลิกันและเดโมแครตไม่สามารถตกลงขยายวงเงินงบประมาณหลังสิ้นสุดปีงบประมาณเมื่อวันที่ 30 ก.ย. ได้ทันเวลา
*** บริษัท SoftBank Group Corp. ของญี่ปุ่น อนุมัติการลงทุนงวดที่ 2 มูลค่า 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อปิดการลงทุนทั้งหมด 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในบริษัทปัญญาประดิษฐ์ OpenAI โดยคณะกรรมการบริหารของ SoftBank ได้ให้ไฟเขียวสำหรับการโอนเงินงวดดังกล่าว ภายใต้เงื่อนไขว่า OpenAI ต้องดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรให้แล้วเสร็จ ซึ่งจะเปิดทางสู่การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (IPO) ในอนาคต ซึ่งเงินทุนก้อนนี้จะช่วยเติมเต็มรอบการระดมทุนมูลค่ารวม 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ประกาศเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
*** IBM ระบุว่า บริษัทสามารถรันอัลกอริทึมสำคัญด้านการแก้ไขความผิดพลาด (error correction) สำหรับคอมพิวเตอร์ควอนตัมบนชิปที่มีจำหน่ายทั่วไปของ Advanced Micro Devices หรือ AMD ได้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญสู่การพัฒนาคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงระดับเชิงพาณิชย์ โดยยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ รายนี้ กำลังเร่งแข่งพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัมกับ Microsoft และ Google ของ Alphabet ซึ่งต่างประกาศความก้าวหน้าของอัลกอริทึมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นกัน 
|