
นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยถึงความคืบหน้าโครงการ “TouristDigiPay” เพิ่มทางเลือกต่างชาติแลกสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นบาทใช้จ่ายทั่วไทยว่า หลังจากประกาศเริ่มเปิด Sandbox ไปแล้วก็มีผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ามาปรึกษา 8 รายหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่การยื่นขอเข้าร่วมโครงการ
โดยโครงการนี้ ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับก.ล.ต.ต้องจับคู่กับผู้ให้บริการ e-money เพื่อเชื่อมต่อกับ e-wallet ที่กำกับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ทั้งนี้ กระบวนการเปิดบัญชีและทำ KYC อาจยุ่งยากช่วงแรกเพื่อป้องกันการฟอกเงิน แต่เมื่อทำเสร็จแล้วจะสามารถโอนเหรียญซื้อขายแปลงเป็น e-money ในบัญชีได้ทันที คาดว่าโครงการจะเริ่มเห็นผลในไตรมาส 4 นี้โดยมีระยะเวลาการทดสอบ Sandbox นาน 18 เดือน
ส่วนความคืบหน้าของ “G-Token” จะต้องตรวจสอบกับหน่วยงานเจ้าของเรื่อง คือกระทรวงการคลังโดยในบทบาทของ ก.ล.ต. คือให้คำปรึกษาทางเทคนิคว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ จุดเด่นของโทเคนคือช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการซื้อหน่วยลงทุนขนาดเล็กได้ เช่น 100 บาท ปัจจุบัน ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านต้องรอความชัดเจนอีกระยะ
ด้านสถานการณ์ “บัญชีม้า” ฝั่งผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล รองเลขาธิการฯ กล่าวว่า มีการปิดบัญชีจำนวนมาก โดยสถานการณ์บัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลล่าสุดปีนี้นับถึงวันที่ 30 ก.ย.68 ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้ระงับบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลแล้ว 3.2 หมื่นบัญชี
ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจด้านสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงมากกว่าฝั่งการเงินดั้งเดิม เพราะธุรกรรมเคลื่อนย้ายเงินได้เร็ว ผู้กระทำผิดมักเริ่มจากเงินฝั่งธนาคารแล้วโอนเข้าบัญชีม้า ก่อนเข้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัล ปัจจุบันผู้ประกอบการเข้มงวดมากขึ้น เช่น ต้องใช้บัญชีลูกค้าที่ตรงกันทั้งฝั่งธนาคารและฝั่งดิจิทัล ทำให้หากเป็นบัญชีม้าก็ต้องม้าทั้งคู่และสามารถติดตามได้ง่ายขึ้น
ที่ผ่านมาก.ล.ต.ได้ร่วมมือกับหลายหน่วยงาน เช่น สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) และตำรวจ กำหนดรูปแบบธุรกรรมที่น่าสงสัยเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนในการปิดบัญชีม้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
รายงานและเรียบเรียง : ชัชชญา อังคุลี