เทรดเดอร์ในตลาดสวอปให้น้ำหนักที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเดือนธ.ค. อยู่ที่ประมาณ 50% ลดลงจาก 72% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังเจ้าหน้าที่เฟดหลายคนแสดงความไม่มั่นใจต่อการดำเนินนโยบายการเงิน เนื่องจากขาดข้อมูลสำคัญทางเศรษฐกิจจากการชัตดาวน์ และส่งผลให้ตลาดต้องการเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น นำไปสู่การเทขายอย่างหนักในวันพฤหัสบดี (13 พ.ย.) การเทขายอย่างฉับพลันเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น สร้างความสั่นสะเทือนอย่างหนักในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้หุ้นที่พุ่งแรงปีนี้ดิ่งลงอย่างรุนแรง และกดดันสกุลเงินดิจิทัลเช่นกัน โดยเทรดเดอร์จำนวนมากให้เหตุผลว่าเป็นเพราะโอกาสที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. มีแนวโน้มลดลง โดยเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยในความเห็นล่าสุด ดัชนีหุ้นกลุ่มที่มีโมเมนตัมสูง รวมถึงหุ้นที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนรายย่อย ถูกเทขายมากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยร่วงลงมากสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ขณะที่กลยุทธ์ที่เน้นจับโมเมนตัมในตลาดจะเน้นการซื้อหุ้นที่เพิ่งทำผลงานได้ดีและขายชอร์ตหุ้นที่ตามหลังตลาด โดยหุ้นกลุ่มที่ทำผลงานได้ดีส่วนหนึ่ง คือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งมูลค่าเพิ่มขึ้นจากกระแสความตื่นตัวในเทคโนโลยีนี้ แมต เมลีย์ (Matt Maley) หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านตลาดของ Miller Tabak + Co. กล่าวว่า “การส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนจำนวนมากยินดีที่จะมองข้ามมูลค่าหุ้นโมเมนตัมที่สูงเกินไป แต่เมื่อความเห็นเรื่องโอกาสลดดอกเบี้ยมีน้ำหนักลดลง นักลงทุนจึงเริ่มลดการลงทุนในหุ้นที่มีราคาแพงเหล่านี้” ดัชนีหุ้นกลุ่มโมเมนตัมสูงของ Bank of America Corp. ร่วงลง 4.7% หนักสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษี โดยหุ้นกลุ่มนี้เคยดีดขึ้นถึง 63% จากจุดต่ำสุดในช่วงดังกล่า นำโดยหุ้น Sandisk Corp. ร่วง 14% และ Astera Labs Inc. ลดลง 8.4% ส่วนหุ้นขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับ AI ร่วงลงเช่นกัน นำโดย Nvidia Corp ที่ร่วงลง 3.6%, Broadcom Inc.ร่วงลง 4.3% และ Palantir Technologies Inc. ดิ่งลง 6.5% ไมเคิล โอรูร์ก (Michael O’Rourke) หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดของ JonesTrading กล่าวว่า หุ้นโมเมนตัมสูงมักจะเป็นหุ้นเติบโตที่ได้ประโยชน์เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง เพราะช่วยลดอัตราคิดลด (Discount rate) ในแบบจำลองการประเมิน Valuation ซึ่งนั่นช่วยเพิ่มอัตราส่วน P/E ได้ 
ในช่วงการปิดหน่วยงานรัฐบาล เจ้าหน้าที่เฟดเริ่มมีความเห็นที่แตกต่างกันมากขึ้นเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ย ซึ่งตอกย้ำความเห็นของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ที่ระบุว่าการลดดอกเบี้ยอีกครั้งยังไม่แน่นอน หลังจากที่เฟดลดดอกเบี้ยล่าสุดไป 0.25% เมื่อเดือนต.ค. การส่งสัญญาณที่ไม่ชัดเจนในตลาดทำให้เกิดความวิตกกังวล โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้กำหนดนโยบายยังต้องรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่ยังสูง ตลอดจนตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ประกอบกับการชัตดาวน์ ทำให้ขาดข้อมูลเชิงลึกในทั้งสองส่วน ส่งผลให้รายงานเศรษฐกิจสำคัญถูกยกเลิกหรือประกาศล่าช้าออกไป อัลเบอร์โต มูซาเลม (Alberto Musalem) ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ควรดำเนินการด้วยความระมัดระวังในการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด ขณะที่นีล แคชคารี (Neel Kashkari) ประธานเฟด สาขามินนิอาโปลิสกล่าวว่า ตนเองไม่สนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุด และยังไม่ได้ตัดสินใจว่าแนวทางใดจะเหมาะสมมากที่สุดสำหรับการประชุมเดือนธ.ค. ส่วนเบ็ธ แฮมแม็ค (Beth Hammack) จากเฟด สาขาคลีฟแลนด์ ระบุว่า ควรใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไป ส่วนในฝั่งนักวิเคราะห์ พอล คริสโตเฟอร์ (Paul Christopher) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนโลกจาก Wells Fargo Investment Institute มองว่า ความกังวลจากกระแสข่าวที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องสร้างความผันผวนอย่างมากต่อราคาหุ้น นักลงทุนควรโฟกัสไปที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจที่จะประกาศออกมาหลังจากที่ล่าช้า ก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงแนวโน้มตลาดแรงงานที่อ่อนแอได้ ที่มา Bloomberg 
|