สหรัฐฯ และจีน บรรลุข้อตกลงระงับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตอบโต้กันระหว่างเรือขนส่งของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งกลายเป็นปัญหาสำคัญที่ซ้ำเติมสงครามการค้าระหว่าง 2 เศรษฐกิจใหญ่ของโลก และเป็นปัจจัยผลักดันให้ค่าระวางเรือพุ่งสูงขึ้น ขณะที่จีนเตรียมหวนกลับมาซื้อถั่วเหลืองจำนวน 12 ล้านตัน ภายในฤดูกาลปัจจุบัน ข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งมีระยะเวลาผ่อนผัน 12 เดือน คาดว่าจะช่วยลดภาระค่าธรรมเนียมราว 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี สำหรับเรือขนาดใหญ่ที่ต่อในจีนและแล่นเข้าสู่ท่าเรือของสหรัฐฯ โดยถือเป็นหนึ่งในผลลัพธ์สำคัญของการเจรจาการค้าระหว่าง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่จัดขึ้นในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ประกาศเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษต่อเรือที่เกี่ยวข้องกับจีน เพื่อลดอำนาจการครอบงำของจีนในอุตสาหกรรมต่อเรือและโลจิสติกส์ระดับโลก รวมถึงเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเรือของสหรัฐฯ โดยมาตรการนี้อยู่ภายใต้กฎหมาย Section 301 ซึ่งอ้างอิงจากผลสอบสวนของสหรัฐฯ ที่สรุปว่าการครองความได้เปรียบของจีนในภาคการต่อเรือและขนส่งทางทะเลมาจากแนวปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ด้านสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า มาตรการภายใต้ Section 301 ได้ถูกระงับชั่วคราวแล้ว ขณะที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ยังไม่ยืนยันว่าการระงับดังกล่าวครอบคลุมถึงบทลงโทษอื่น ๆ เช่น ภาษีศุลกากร 100% สำหรับเครนท่าเรือที่ผลิตในจีนหรือเรือบรรทุกยานยนต์ที่สร้างนอกประเทศจีนหรือไม่ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า การระงับนี้ครอบคลุมมาตรการลงโทษทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมทางทะเล โลจิสติกส์ และต่อเรือของจีน พร้อมยืนยันว่า จีนจะระงับการตอบโต้และค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บกับเรือที่เชื่อมโยงกับสหรัฐฯ เช่นกัน ค่าธรรมเนียมดังกล่าว สร้างต้นทุนจำนวนมากแก่ผู้ประกอบการขนส่ง เช่น COSCO ของจีน และ Matson ของสหรัฐฯ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินเรือเตือนว่า มาตรการตอบโต้เหล่านี้ทำให้ตารางการเดินเรือปั่นป่วน และผลักภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นไปถึงผู้บริโภคในที่สุด ขณะที่ High-Trend International Group บริษัทขนส่งทางทะเลในสิงคโปร์ ระบุว่าการระงับครั้งนี้สร้างผลประโยชน์ที่จับต้องได้ทันทีและช่วยยกเลิกภาระต้นทุน ที่เป็นอุปสรรคต่อแผนโลจิสติกส์และโครงการลดการปล่อยคาร์บอนของบริษัท ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งระหว่างประเทศ เสริมเสถียรภาพกระแสเงินสด และเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนในกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท 
ขณะเดียวกัน สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า จีนได้ตกลงซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ปริมาณ 12 ล้านตัน ภายในฤดูกาลปัจจุบันซึ่งสิ้นสุดเดือนม.ค. ลดลงจากระดับ 22.5 ล้านตัน ในฤดูกาลก่อนหน้า หลังสงครามภาษีที่ยืดเยื้อทำให้การนำเข้าถูกระงับชั่วคราว นอกจากนี้ จีนยังให้คำมั่นจะซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ปีละ 25 ล้านตัน เป็นเวลา 3 ปีต่อเนื่อง ภายใต้ข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่จัดขึ้นในเกาหลีใต้ เบสเซนต์ระบุว่า “เกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ซึ่งเคยถูกใช้เป็นเครื่องต่อรองทางการเมืองโดยจีน ตอนนี้เรื่องดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้ว” พร้อมเสริมว่าข้อตกลงดังกล่าว อาจลงนามอย่างเป็นทางการได้เร็วที่สุดภายในสัปดาห์หน้า โดยก่อนหน้านี้ ความต้องการถั่วเหลืองจากจีนที่ลดลง ได้สร้างความเสียหายต่อเกษตรกรสหรัฐฯ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของทรัมป์ โดยทำให้สูญเสียรายได้หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการส่งออกที่เคยมีมูลค่าเฉลี่ยปีละกว่า 24,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกันนี้ เบสเซนต์ยังเปิดเผยว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกหลายประเทศ ได้ตกลงที่จะซื้อถั่วเหลืองสหรัฐฯ เพิ่มเติมอีก 19 ล้านตัน แม้ยังไม่ระบุช่วงเวลาและรายชื่อประเทศผู้ซื้อ โดยตามข้อมูลของสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ผู้นำเข้าในเอเชีย (ไม่รวมจีน) มักนำเข้าปีละราว 8–10 ล้านตันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ หลังการประชุมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่า ผู้นำจีนได้อนุมัติให้เริ่มนำเข้าถั่วเหลือง ข้าวฟ่าง และสินค้าเกษตรอื่น ๆ จากสหรัฐฯ ในปริมาณมหาศาลด้วยเช่นกัน จีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดของโลกและเป็นตลาดหลักของเกษตรกรสหรัฐฯ เคยใช้ถั่วเหลืองเป็นเครื่องต่อรองทางการค้าในช่วงสงครามภาษี โดยในปี 2024 จีนซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เพียง 20% ของความต้องการรวม ลดลงจาก 41% ในปี 2016 ที่มา Reuters (1) และ (2) 
|