
ปีนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ดำเนินการสั่งพักและเพิกถอนการให้ความเห็นชอบในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) รวม 3 บริษัท มีผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 4 ราย เนื่องจากบกพร่องในการปฏิบัติงานในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้แก่บริษัทมหาชนที่ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (คำขออนุญาต IPO) ประกอบด้วย
1. วันที่ 22 พ.ค.68 สั่งพักการให้ความเห็นชอบในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI และผู้ควบคุมการปฏิบัติงาน "ศิริพร เหล่ารัตนกุล" และ "สุวิมล ศรีโสภาจิต" เป็นเวลา 1 ปี
2. วันที่ 20 มิ.ย.68 สั่งพักการให้ความเห็นชอบในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ "Capital One" และผู้ควบคุมการปฏิบัติงาน "ปิยะ พงศกรไพศาล" เป็นเวลา 1 ปี
3.วันที่ 21 พ.ย.68 สั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด (บริษัท พาย) และผู้ควบคุมการปฏิบัติงาน "สัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ" เป็นเวลา 10 ปี
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ระบุว่า "ที่ปรึกษาทางการเงิน" มีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกและกลั่นกรองคุณภาพของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดูแลให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้อง ไม่ทำให้สำคัญผิด และเพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุน ซึ่งผลงานของที่ปรึกษาทางการเงินมีความสำคัญอย่างมากกับผู้ลงทุนและผู้เกี่ยวข้องในวงกว้าง ดังนั้น ที่ปรึกษาทางการเงินจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานในการปฏิบัติงานของผู้ประกอบวิชาชีพและรักษาจรรยาบรรณวิชาชีพ
สำหรับ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) และ "Capital One" ก.ล.ต. ตรวจสอบพบว่า ปฏิบัติงานบกพร่องอย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับยื่นคำขออนุญาต IPO แสดงถึงความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือขาดความระมัดระวังรอบคอบอย่างมากในการตรวจสอบหรือสอบทานข้อมูลที่สำคัญ (Due Diligence) ของบริษัทที่จะทำ IPO
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เกิดขึ้น 2 กรณี 2 บริษัทที่จะขาย IPO โดยเคสที่ "ศิริพร เหล่ารัตนกุล" เป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติงาน พบข้อบกพร่องเกี่ยวกับการไม่วิเคราะห์และระบุความเสี่ยงในกระบวนการรับและส่งมอบงาน ซึ่งเป็นเหตุให้มีรายได้ค้างรับเป็นจำนวนมาก การไม่ตั้งประเด็นความผิดปกติของกระบวนการคัดเลือกและว่าจ้าง Supplier และการขาดความระมัดระวังในการตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการจ่ายค่าใช้จ่ายบางประเภท
ส่วนเคสที่ "สุวิมล ศรีโสภาจิต" เป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติงาน พบข้อบกพร่องเกี่ยวกับการไม่ได้ประเมินความเสี่ยงของระบบการให้สินเชื่อ และบกพร่องในการทำ Due Diligence กระบวนการพิจารณาสินเชื่อทั้งที่ระบบดังกล่าวอาจยังขาดความรัดกุมไม่สมเหตุสมผล และไม่เป็นไปตามนโยบายที่กำหนด รวมทั้งขาดความระมัดระวังรอบคอบในการทำ Due diligence เกี่ยวกับสัญญาสินเชื่อประเภทขายฝากที่พบความผิดปกติและอาจมีความเสี่ยงในการบังคับหลักประกัน
ด้าน "Capital One" พบข้อบกพร่องเกี่ยวกับการตรวจสอบความครบถ้วนของใบอนุญาตของบุคลากรในธุรกิจหลักของบริษัทที่จะทำ IPO รวมถึงไม่ตั้งข้อสังเกตและให้คำแนะนำแก่บริษัทดังกล่าวในการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงานให้เหมาะสมก่อนยื่นคำขออนุญาต โดยเฉพาะกลไกการกำกับดูแลบริษัทย่อยหลักของบริษัทที่จะทำ IPO ที่ยังขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ขณะที่รายล่าสุด "พาย แอ๊ดไวเซอรี่" และ "สัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ" พบข้อบกพร่องร้ายแรง โดยมีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาไม่สุจริต ให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทที่จะทำ IPO ปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมากต่อการพิจารณาคำขออนุญาตของ ก.ล.ต. หรือต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุน
รวมทั้งพบว่ามีเจตนาปกปิดข้อมูลเงื่อนไขของการสิ้นสุดสัญญาการเป็นตัวแทนนายหน้าซึ่งเป็นธุรกิจหลักและเป็นรายการที่มีนัยสำคัญของบริษัทที่จะทำ IPO โดยแจ้งข้อมูลเฉพาะส่วนที่เป็นคุณแก่บริษัท ทั้งที่ผู้ควบคุมการปฏิบัติงานทราบถึงเงื่อนไขที่กำหนดเพิ่มเติมระหว่างบริษัทที่จะทำ IPO กับคู่สัญญาที่ระบุให้สัญญาการเป็นตัวแทนนายหน้าดังกล่าวสิ้นสุดทันทีภายหลังจากที่ครบกำหนดของการขยายระยะเวลาของสัญญา แต่กลับปกปิดเงื่อนไขดังกล่าว โดยแจ้งเฉพาะความคืบหน้าในการต่อสัญญาเท่านั้น ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวเป็นเงื่อนไขที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้บริษัทที่จะทำ IPO สูญเสียค่าตอบแทนที่จ่ายไปล่วงหน้าและกระทบต่อฐานะการเงินรวมถึงผลการดำเนินงาน
ขณะเดียวกันยังพบข้อบกพร่องจากการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือขาดความระมัดระวังรอบคอบอย่างมากในการตรวจสอบหรือสอบทานข้อมูลที่สำคัญ (Due Diligence) ของบริษัทที่จะทำ IPO ดังกล่าวในอีกโครงการหนึ่ง โดยผู้ควบคุมการปฏิบัติงานไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลรายการทางการเงินที่น่าสงสัย (Red Flags) และขาดความระมัดระวังในการตรวจสอบธุรกรรมการซื้อขายของบริษัทที่จะทำ IPO ว่าเป็นรายการซื้อขายจริง (True Transaction) ทั้งที่เงินมัดจำในโครงการดังกล่าวในขณะที่ยื่นคำขออนุญาต IPO มีมูลค่าเกือบ 20% ของสินทรัพย์รวมของบริษัท จึงเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่บริษัทใช้ในการประกอบธุรกิจ รวมถึงการไม่วิเคราะห์และเปิดเผยความเสี่ยงในการทำสัญญาตัวแทนนายหน้า อันทำให้บริษัทที่จะทำ IPO มีโอกาสจะสูญเสียเงินมัดจำจากการทำสัญญาดังกล่าวในจำนวนที่มีนัยสำคัญทั้งจำนวน
นอกจากนี้ ยังพบข้อบกพร่องในเรื่องที่มีนัยสำคัญมาก ขาดความระมัดระวังรอบคอบในการตรวจสอบหรือสอบทานข้อมูลที่สำคัญในประเด็นการทำธุรกรรมของบริษัทย่อยซึ่งมีความเสี่ยงในการสูญเสียเงินมัดจำ การใช้ทรัพยากรของบริษัทเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของผู้บริหารโดยไม่มีนโยบายรองรับ การไม่ตรวจสอบความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของธุรกิจส่วนตัวของกรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ การไม่ตรวจสอบผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายของบริษัทจากกิจกรรมทางการตลาดหรือ Business Model ใหม่ และการไม่ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการจ้าง Sub Contract ซึ่งการไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบหรือสอบทานข้อมูลที่สำคัญข้างต้นของผู้ควบคุมการปฏิบัติงาน ส่งผลให้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับความเหมาะสมและเพียงพอของระบบควบคุมภายในของบริษัทที่จะทำ IPO ดังกล่าว รวมทั้งความครบถ้วนถูกต้องของการเปิดเผยข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนสำหรับเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนของบริษัทที่จะทำ IPO ด้วย
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทที่จะทำ IPO และเกี่ยวข้องกับที่ปรึกษาการเงินทั้ง 3 แห่งข้างต้น ได้ถอนการยื่นคำขอ IPO หรือ แบบไฟลิ่ง ทั้งหมด และไม่ได้เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนแต่อย่างใด โดย ก.ล.ต.ระบุว่า หลังจากนี้ หากมายื่นคำขอความเห็นชอบในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในตลาดทุนช่วงระยะเวลาที่สั่งเพิกถอน ก.ล.ต.จะไม่รับพิจารณาคำขอดังกล่าว
หมายความว่ายังไม่ได้เกิดความเสียหายต่อผู้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยแต่อย่างใด ซึ่งกระบวนการดำเนินงานของ ก.ล.ต. ในกรณีเหล่านี้เป็นการป้องกันความเสียหายให้กับนักลงทุนและตลาดหุ้นไทย
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการ ชมรมวาณิชธนกิจ (Investment Banking Club) ของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) ระบุว่า ทุกครั้งที่เกิดกรณีดังกล่าว ได้มีการส่งหนังสือเวียนเพื่อกำชับบริษัทสมาชิกให้ตระหนักถึง "แนวปฏิบัติ" ในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินอย่างละเอียดรอบคอบ
ทั้งนี้ การดำเนินการของ ก.ล.ต.ข้างต้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 1-2 ปีก่อน ซึ่งต้องแยกแยกแต่ละส่วนแต่ละกรณีของแต่ละบริษัท เพราะมีสาเหตุความบกพร่องที่ต่างกัน ซึ่งสมาชิกในอุตสาหกรรมรายอื่น ๆ ยังปฏิบัติหหน้าที่ได้อย่างถูกต้องตาม "แนวปฏิบัติ"
"แนวปฏิบัติมีมาตั้งแต่ปี 2561 แล้ว ซึ่งที่ผ่านมา หากมีข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะมีการส่งหนังสือตักเตือนกันมาตลอด แต่บางเคสบางราย เตือนแล้วก็ยังผิดพลาดอยู่ซ้ำ ๆ ซึ่งอาจจะมาจากความประมาทหรือตั้งใจ ไม่สามารถระบุได้ ดังนั้นเมื่อ ก.ล.ต. พบความผิดพลาด ก็ต้องดำเนินการ Enforced แนวปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เหมือนห้องเรียนห้องหนึ่ง คงมีนักเรียนดื้อ ๆ ไม่ทำตามระเบียบบ้าง เมื่อเตือนแล้วไม่ดีขึ้น ก็ต้องลงโทษเพื่อตักเตือน"
ทั้งนี้แม้ยอมรับว่าอาจจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อหุ้น IPO ที่ช่วงหลังผลงานไม่สู้ดีนัก แต่ประเด็นนี้ต้องแยกแยะออกจากกัน เพราะเคสที่มีปัญหาข้างต้น ถอนไฟลิ่งไปทั้งหมด ยังไม่ได้เข้าไปสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนหรือตลาดทุนแต่อย่างใด