GULF ตั้งงบลงทุน 5 ปีกว่า 1-1.2 แสนลบ. ลุยขยายพลังงานหมุนเวียนสัดส่วนกว่า 70% ส่วนปี 69 ตั้งเป้า EBITDA โต 15% รับกำลังการผลิตใหม่ 683 MW - ขยายดาต้าเซ็นเตอร์แตะ 300-500 MW ภายใน 3-5 ปี แย้มออกหุ้นกู้อีก 6-7 หมื่นลบ. เล็งปรับปันผลเป็นปีละ 2 ครั้ง นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยในงาน "Opportunity Day" ว่าบริษัทตั้งเป้างบลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 69-73) ไว้ประมาณ 100,000 - 120,000 ล้านบาท
โดยสัดส่วนเงินลงทุนดังกล่าว กว่า 70% จะเน้นใช้สำหรับการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน อาทิ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ขณะที่ด้านแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน การออกหุ้นกู้ และเงินกู้จากสถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยบริษัทจะจัดโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสมในส่วนของเงินกู้และส่วนของผู้ถือหุ้นเพื่อสนับสนุนการเติบโตของบริษัท 
ทั้งนี้ตามแผนการลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้า บริษัทคาดว่าจะช่วยหนุนให้กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตประมาณ 10-15% ต่อปี นับจากปีนี้ สำหรับแผนดำเนินงานปี 69 บริษัทคาดว่าผลประกอบการจะเติบโตต่อเนื่อง และมี EBITDA เติบโตที่ระดับ 15% จากปีนี้ เนื่องจากจะมีการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าหมุนเวียนในประเทศอีก 6 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 623 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งคาดจะรับรู้กำไรเพิ่มขึ้นประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี และมีโรงไฟฟ้าขยะชุมชนที่เชียงใหม่อีก 10 MW ซึ่งคาดว่าจะ COD ช่วงเดือน พ.ค.69 และรับรู้กำไรราว 120 ล้านบาทต่อปี รวมถึงยังมีโครงการ solar rooftop ที่ทยอยเปิด COD อีก 50 MW ทำให้ปีหน้าบริษัทจะมีกำลังการผลิตใหม่รวม 683 MW ขณะที่โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) มีกำหนดเปิดดำเนินการในช่วงไตรมาส 3/69 และผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐฯมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากค่า Capacity Payment ที่ปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้บริษัทรับรู้กำไรเพิ่มขึ้นอีก 1,200 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจก๊าซฯมีแผนขยายการนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 70 ลำ หรือประมาณ 4-5 ล้านตัน และคาดจะมีกำไรจากธุรกิจก๊าซฯในปีหน้ประมาณ 1,200-1,500 ล้านบาท ส่วนธุรกิจ AIS คาดว่าผลประกอบการจะเติบโตดีขึ้น เนื่องจากการขยายฐานผู้ใช้บริการ 5G การเพิ่มขึ้นของ ARPU และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้บริษัทรับรู้กำไรเพิมขึ้นอีก และธุรกิจ data center คาดจะรับรู้กำไรเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 69 - 70 เป็นต้นไป โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ GSA02 ขนาด 38 MW คาดจะเปิดให้บริการช่วงไตรมาส 1/70 นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าจะขยายการให้บริการธุรกิจ data center แตะ 300-500 MW ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับความต้องการใช้คลาวด์,ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดดทั้งในไทยและภูมิภาคนี้ ด้านงบลงทุนในปีหน้าบริษัทเตรียมไว้ประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นสัดส่วน 33% สำหรับการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และสัดส่วน 61% เพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจ S Curve เช่น data cente,คลาวด์ และ AI เป็นต้น ส่วนที่เหลืออีก 6% ใช้ลงทุนในธุรกิจอื่นๆ อย่างไรก็ตามบริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ชุดใหม่ในปี 69 อีกประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสกุลเงินบาทและสกุลเงินเยน เพื่อเตรียมรองรับการใช้คืนหนี้หุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดและการลงทุนโครงการใหม่ๆที่อยู่ในแผนงาน ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/68 คาดว่ากำไรจะโตต่อเนื่อง จากการเปิดโรงไฟฟ้าหมุนเวียนในประเทศจำนวน 7 โครงการ กำลังการผลิตรวม 597 MW ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทรับรู้กำไรเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 550 ล้านบาทต่อปี ประกอบกับเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจพลังงานลม ซึ่งทำให้ผลประกอบการของโครงการ Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ในประเทศเยอรมนีและโครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation (GGC) ก็จะออกมาดี รวมถึงโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) มีกำหนดเปิดดำเนินการในเดือน ธ.ค.นี้ นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องนโยบายการจ่ายปันผลของบริษัทเป็นปีละ 2 ครั้ง เนื่องจากบริษัทมีความเข้าใจความคาดหวังของผู้ถือหุ้นที่ต้องการเงินปันผลโดยเฉพาะผู้ถือหุ้นเดิมของ INTUCH ที่เคยได้รับเงินปันผล 2 ครั้งต่อปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับมติของคณะกรรมการของบริษัท ซึ่งจะมีการแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบต่อไป อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาบริษัทก็มีการจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดทุกปีอยู่แล้ว |