ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงของจีน เรียกร้องให้ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ร่วมมือกันเพื่อรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานและสนับสนุนการค้าเสรี โดยระบุว่า “ยิ่งโลกเผชิญความปั่นป่วนมากเท่าใด เรายิ่งต้องร่วมมือกันให้มากขึ้นเท่านั้น” คำกล่าวของผู้นำจีน มีขึ้นระหว่างการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่จัดขึ้นในเกาหลีใต้ และเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากจีนบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ในการลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน ซึ่งถือเป็นสัญญาณบรรเทาความตึงเครียดทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศ หลังจากใช้มาตรการตอบโต้กันมายาวนานหลายปี โดยสหรัฐฯ ตกลงลดอัตราภาษีสินค้าจีนลง 10% ขณะที่จีนยอมผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ (rare earths) ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวในที่ประชุมว่าโลกกำลังเผชิญ “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ” พร้อมย้ำว่าจีนยังคงเป็น “แหล่งของโอกาสใหม่ ๆ ให้กับโลก” แม้ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกจะเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เพิ่มขึ้นก็ตาม พร้อมกันนี้ ยังเสนอแนวทางความร่วมมือ 5 ประการในการประชุม APEC ซึ่งประกอบด้วย 1. การปกป้องระบบการค้าพหุภาคี 2. การสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง 3. การรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทาน 4.การส่งเสริมการค้าที่ยั่งยืนคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและดิจิทัล 5. การผลักดันการพัฒนาแบบทั่วถึง 
สี จิ้นผิง กล่าวเน้นย้ำว่า ประเทศต่าง ๆ ควรขยายห่วงโซ่อุปทานร่วมกัน ไม่ใช่ตัดขาดออกจากกัน ซึ่งอาจขัดแย้งกับนโยบายของสหรัฐฯ ที่มุ่งผลักดันให้ อุตสาหกรรมกลับไปผลิตในประเทศ โดยระหว่างการหารือกับประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำจีนยังระบุว่า “การพัฒนาและฟื้นฟูของจีนสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีทรัมป์ในการทำให้สหรัฐฯ ยิ่งใหญ่อีกครั้ง” ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จีนขยายภาคการผลิตอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีสัดส่วนถึง 27% ของผลผลิตอุตสาหกรรมโลก แต่ต้นทุนแรงงานและภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้โรงงานจีนจำนวนมากย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นในเอเชียแปซิฟิก ขณะเดียวกันความต้องการภายในภูมิภาคก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้านสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ พยายามใช้ภาษีและนโยบายอื่น ๆ เพื่อดึงภาคการผลิตกลับคืนสู่ประเทศ รวมถึงกำหนดภาษีใหม่ในปีนี้เพื่อลดการส่งออกสินค้าจีนผ่านประเทศที่ 3 ทั้งนี้ นับตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เริ่มต้นเมื่อราว 7 ปีก่อน สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้กลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน แซงหน้าสหภาพยุโรป ซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า จีนจะยังคงเปิดตลาดให้กับธุรกิจต่างชาติและมอบโอกาสใหม่ให้กับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก รายงานของ Rhodium Group ระบุว่า เอเชียเป็นจุดหมายหลักของการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของจีน (FDI) ในไตรมาส 3 ปีนี้ มูลค่ารวมกว่า 15,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 โดยมีดีลสำคัญในธุรกิจศูนย์ข้อมูลและวัสดุแบตเตอรี่ ที่มา CNBC 
|