กกร. เผยปัญหาคอร์รัปชัน ทำจีดีพีไทยหายไปถึง 2% เชื่อหากแก้ได้จะดันศก.แตะ 4% พร้อมเผยดัชนีคอร์รัปชันไทยตกไปอยู่อันดับ 5 ของอาเซียน แนะภาครัฐ-เอกชน แก้ไขด่วน เหตุทำความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติหดหาย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน เปิดเผยว่า จากที่ประชุม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้เห็นชอบแต่งตั้ง คณะทำงาน Zero Corruption : กกร. และ เพื่อนไม่ทน เพื่อรวบรวมข้อเสนอจากภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม พร้อมจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่จะนำเสนอต่อรัฐบาลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มาตรการเหล่านี้ถูกนำไปปฏิบัติได้จริง และสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงสร้างระบบเศรษฐกิจและการเมืองไทยที่โปร่งใส เป็นธรรม และ เพื่อให้การขับเคลื่อนงานของคณะทำงานฯ มีความเข้มแข็งสามารถยกระดับการทำงานให้ครอบคลุม จึงได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน ภายใต้ ชื่อ “คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อนไม่ทน” เพื่อประกาศจุดยืนของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ การจัดตั้งคณะทำงานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนแนวคิด Reinvent Thailand เพื่อร่วมยกระดับขีดความสามารถของประเทศ โดยเริ่มจากการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน Government Efficiency (ประสิทธิภาพของภาครัฐ) ซึ่งเป็นอุปสรรคหลักต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย "ปัญหาคอร์รัปชั่นไม่ได้ตีเป็นมูลค่า เพราะเป็นความลับที่เขาทำกัน แต่หากเรามองจีดีพีที่ปีนี้โต 2% ปัญหาคอร์รัปชั่นก็บั่นทอนจีดีพีไทยหายไป 2% ทั้งที่จริงความสามารถ และ ศักยภาพของเราจีดีพีที่ 4% ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เจอปัญหานี้ไปจีดีพีก็หายไป 2% แล้ว"ดร.พจน์ กล่าว นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยไม่ได้เพียงแค่ผลิตสินค้าเพื่อแข่งขันในตลาดโลกเท่านั้น แต่กำลังก้าวสู่ยุคที่ต้องผลิตความโปร่งใสเป็นมาตรฐานใหม่ของการดำเนินธุรกิจ เพราะการทุจริตไม่ใช่แค่ปัญหาทางศีลธรรมที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของสังคม แต่ คือ ต้นทุนที่มองไม่เห็นที่กัดกร่อนศักยภาพของประเทศ ทั้งด้านการลงทุน เทคโนโลยี และ โอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต
ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการสร้างระบบที่สุจริต ตรวจสอบได้ และ ยึดหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นด้านดิจิทัล นวัตกรรม มาตรฐานสากล หรือ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตที่มีคุณภาพ และ ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาคมโลก “การพัฒนาเศรษฐกิจไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากยังมีร่องรอยของการทุจริตแทรกอยู่ในระบบ เพราะทุกการกระทำที่ไม่โปร่งใส คือ อุปสรรคต่อการเติบโตของชาติ และ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยคณะทำงาน Zero Corruption จึงรวมพลังจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคประชาชน เพื่อร่วมกันต่อต้านการทุจริตอย่างจริงจัง สร้างประเทศที่โปร่งใสเป็นธรรม และ แข่งขันได้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าอย่างมั่นคง และ ยั่งยืนต่อไป”นายเกรียงไกร กล่าว 
นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยเผชิญความท้าทายใน 3 ด้าน คือ 1.ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง มีเศรษฐกิจนอกระบบสูงเป็นลำดับต้นๆ ในเอเชียที่ราว 48% ของ GDP อีกทั้ง หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงเมื่อรวมหนี้นอกระบบเกิน 100% ของจีดีพี 2.ขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่ โดยเศรษฐกิจไทยเติบโตตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน 3.ความท้าทายของภาครัฐ ที่มีกฎระเบียบจำนวนมากถึงกว่า 100,000 ฉบับ บางส่วนล้าสมัย และ ซ้ำซ้อน อีกทั้ง ข้อมูลของภาครัฐยังไม่เชื่อมโยงกัน ซึ่งทั้ง 3 ด้านเป็นความท้าทายที่มีความเกี่ยวโยงกับปัญหาคอร์รัปชัน และ Trust and Confidence ในระบบเศรษฐกิจไทย สำหรับสมาคมธนาคารไทย พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงาน Zero Corruption : กกร. และ เพื่อนไม่ทน ร่วมผลักดัน สอดคล้องกับแนวคิด Reinvent Thailand ที่เน้นการมีส่วนร่วมของเอกชนและภาครัฐ ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำอย่างโปร่งใส ในเรื่องที่มีผลลัพธ์สูง (High impact) ทั้งในด้านการจ้างงานคนไทยและความสามารถในการแข่งขันในการยกระดับประเทศ สอดคล้องแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล รวมไปถึงการที่ประเทศไทยจะต้องปฏิรูปในหลายด้านเพื่อเข้าเป็นสมาชิก OECD และ เป็นการ show case การขับเคลื่อนประเทศเพื่อสร้าง Trust and Confidence ในกลุ่มนักลงทุนและประชาคมโลกในโอกาสที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุม IMF-WBG Annual Meetings ในปี 2569 รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ที่ปรึกษาประจำสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และ เพื่อนไม่ทน ร่วมกับ ดร.มานะ นิมิตรมงคล ปรธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ว่า การดำเนินงานของคณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และ เพื่อนไม่ทน จะเน้นการดำเนินการผ่าน กรอบการดำเนินงาน 6 ด้านต้านทุจริต ดังนี้ 1.การปลูกฝังจิตสำนึก ส่งเสริมให้คนไทยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตสำนึกและวัฒนธรรมองค์กรโปร่งใส 2.นโยบายต่อต้านการทุจริตในองค์กร ผลักดันให้ภาคธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐมีนโยบาย มาตรการ และ การกำกับภายในที่ชัดเจน ครอบคลุมถึงการบริหารทรัพยากรบุคคล การจัดซื้อจัดจ้าง และ การประเมินผล เพื่อยกระดับธรรมาภิบาล 3.ระบบบริหารความเสี่ยง จัดทำเครื่องมือระบุ วิเคราะห์ และ ประเมินความเสี่ยงด้านการทุจริตอย่างเป็นระบบ พร้อมแนวทางติดตาม ป้องกัน และ ตรวจสอบอย่างเข้มงวด 4.การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ ผลักดันให้ข้อมูลภาครัฐถูกเปิดเผยในรูปแบบดิจิทัลให้ภาคเอกชน สื่อมวลชน และ ประชาชนสามารถเข้าถึง ตรวจสอบ และ นำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย เชื่อมโยงกับแนวทาง OECD และ OGP 5.เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใส ใช้เทคโนโลยี Big Data และ AI ในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เชื่อมโยงฐานข้อมูลจากหลายหน่วยงาน และ สนับสนุนการตรวจสอบแบบ real-time เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันคอร์รัปชั่น 6.แนวทางการร้องเรียนและคุ้มครองผู้เปิดเผยข้อมูล สร้างระบบรับเรื่องร้องเรียนที่ปลอดภัย คุ้มครองผู้เปิดโปงข้อมูล และ กำหนดแนวทางปฏิบัติให้ทุกภาคส่วนสามารถแจ้งเบาะแสได้โดยไม่ถูกคุกคาม รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และ เพื่อนไม่ทน เปิดเผยว่า ผลสำรวจ "ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย (Thai CSI)" ประจำเดือนมิถุนายน 2568 โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นการสำรวจจาก 3 กลุ่มตัวอย่างหลัก จำนวน 2,400 ตัวอย่าง (ประชาชน , ผู้ประกอบการ/ภาคเอกชน , และ ข้าราชการ/ภาครัฐ) พบว่า ดัชนีรวมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 36 จากระดับ 37 ในการสำรวจเมื่อเดือนธันวาคม 2567 สะท้อนว่า สถานการณ์คอร์รัปชัน ไทยในภาพรวมแย่ลง โดยดัชนีย่อยทั้งด้านปัญหาและความรุนแรง การป้องกัน และ การปราบปราม ล้วนปรับตัวลดลงทั้งหมด ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างมีความกังวลต่อสถานการณ์อย่างยิ่ง โดย 87% มองว่า ปัญหาคอร์รัปชันในปัจจุบันรุนแรงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และ 74% คาดการณ์ว่า จะรุนแรงขึ้นในปีหน้า แม้ว่า ปัญหาจะยังรุนแรง แต่มีสัญญาณเชิงบวก คือ ค่าเฉลี่ยความสามารถที่จะทานทนต่อการทุจริต (Tolerance of corruption) ที่ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.92 (ในระดับ 0-10 โดย 0 หมายถึง เกลียดการทุจริตที่สุด) สะท้อนว่า สังคมไทยไม่ยอมรับ และ ไม่ทนต่อปัญหานี้อย่างชัดเจน เมื่อเจาะลึกถึงสาเหตุสำคัญที่สุดของการทุจริต กลุ่มตัวอย่างระบุว่าเกิดจาก "ความไม่เข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมาย" (13.5%) "กระบวนการทางการเมืองขาดความโปร่งใส" (11.6%) และ "ผลประโยชน์ทางการเมือง" (11.3%) โดยรูปแบบการทุจริตที่พบบ่อยที่สุด คือ "การไม่เปิดเผยข้อมูล หรือ เปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วน" (13.7%) “การเอื้อประโยชน์แก่ญาติ/พรรคพวก (Nepotism & cronyism)” (12.3%) และ "การใช้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวก" (10.9%) สำหรับข้อเสนอเร่งด่วนที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการมากที่สุด คือ "การตรวจสอบการทุจริตของนักการเมือง" (11.5%) และ “สนับสนุนให้เครือข่าย/ภาคธุรกิจ/ภาคประชาชนในการตรวจสอบ” (11.5%) ขณะที่กลยุทธ์สำคัญที่รัฐควรให้ความสำคัญอันดับแรก คือ "การสร้างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส ตรวจสอบได้โดยบุคคลภายนอก" (22.9%) และ "การวางนโยบายเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการแข่งขันอย่างโปร่งใสและเท่าเทียม" (22.1%) "ผลดัชนี CSI ที่ปรับตัวลดลงครั้งนี้สะท้อนวิกฤตความเชื่อมั่นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการที่ดัชนีย่อยทั้งด้านการป้องกัน การปราบปราม และ ความรุนแรงของปัญหา แย่ลงพร้อมกันทั้งหมด สิ่งที่น่ากังวล คือ ความเชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ปราบปรามการทุจริตอยู่ในระดับต่ำมาก ในทางกลับกันความเชื่อมั่นต่อพลังของภาคประชาชนและสื่อมวลชนกลับเพิ่มสูงขึ้น ภาครัฐจึงต้องเร่งพิสูจน์ตัวเองโดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และ สร้างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใสเพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นกลับคืนมาโดยด่วน”รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าว ในขณะที่ ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index) หรือ CPI ที่เป็นการสำรวจของโลก พบว่า ไทย อยู่อันดับ 5 ของอาเซียน ที่ระดับ 34 ตามหลัง อันดับ 1 คือ สิงค์โปร ที่ระดับ 84 , อันดับ 2 คือ มาเลเซีย ที่ระดับ 57 , อันดับ 3 คือ เวียดนาม ที่ระดับ 40 , อันดับ 4 คือ อินโดนีเซีย ที่ระดับ 37 ซึ่งทั้ง 4 ประเทศเคยอยู่ต่ำกว่าไทย แต่ตอนนี้ไทยอันดับตกลงต่อเนื่อง สะท้อนว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ "ดัชนี CPI เป็นผลสำรวจจากโลกที่ใช้กัน ไทยเคยอยู่สูงสุดที่ระดับ 38 จาก 100 คะแนน แต่ตอนนี้ไทยลงมาที่ระดับ 34 อยู่อันดับที่ 107 ของโลก"รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าว |