PTT คาดปี 69 ปิดดีลพันธมิตร โรงกลั่น-ปิโตรฯ หนุน "PTT Tank" เป็น Infrastructure Flagship ของกลุ่ม ปลื้มสถาบัน - ต่างชาติต่อคิวสนใจร่วมลงทุนเพียบ พร้อมคาดมาร์จินโรงกลั่น-ปิโตรปีหน้ายังทรงตัว ตั้งเป้าดันพอร์ต LNG แตะ 10 ล้านตัน ภายในปี 73 ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยภายในงาน "แถลงผลการดำเนินงาน ปตท. 9 เดือน ประจำปี68 " ว่าสำหรับความคืบหน้าในการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนในธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีในกลุ่มบริษัทนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างหารือและมีความก้าวหน้าตามแผน
ซึ่งการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนในครั้งนี้จะเน้นการดำเนินการใน 4 ด้านหลักๆ ได้แก่ 1.ปรับสัดส่วนการลงทุนของกลุ่มธุรกิจ P&R, 2.เสริมความแข็งแกร่งให้บริษัท Flagship รองรับบริบทธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง, 3.แสวงหา Long Strategic Partners ที่ Bring in Values และ 4.ปตท.จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัท Flagship พร้อมคาดว่าการดำเนินธุรกรรมจะแล้วเสร็จภายในปี 69 
ทั้งนี้ด้านการดำเนินกลยุทธ์ Asset Monetization (A1) เพื่อบริหารสินทรัพย์ในกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น มีการจัดโครงสร้างองค์กรผ่านการให้บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) เป็น Infrastructure Flagship หรือศูนย์รวมการบริหารสินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ของกลุ่ม ซึ่งหลักการนั้น PTT Tank จะซื้อและเช่ากลับทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานจาก PTTGC,TOP และ IRPC เช่น ท่าเทียบเรือ,ถังเก็บผลิตภัณฑ์,ระบบขนถ่าย,ถังน้ำมันดิบ,ทุ่นผูกเรือกลางทะเล,สถานีจ่ายน้ำมันทางรถ และธุรกิจรับจัดเก็บและขนถ่ายสินค้าเหลว โดยจะสร้างความแข็งแรงและกระแสเงินสดให้กับกลุ่ม ปตท.และถัดจากนั้นจะมีการหาคนมาร่วมลงทุนอีกด้วย ขณะที่สินทรัพย์ที่ประกาศลงทุนไปประมาณ 47,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าท่อประมาณ 38,000 ล้านบาท และที่เหลือจะเป็นหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ PTT Tank โดยหลังจากนี้รอการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น PTTGC เมื่อวานนี้ (18 พ.ย.68) และของ TOP ในช่วงเดือนธ.ค.68 ขณะที่มีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน PTT Tank จากเดิมที่ปตท.ถือหุ้นสัดส่วนโดยตรง 100% ลดลงเป็นถือหุ้น 50% และบริษัทลูกของปตท.ถืออีก 50% เพื่อเปลี่ยนให้เป็นบริษัทเอกชน ซึ่งจะได้รับสินทรัพย์มาจาก PTTGCและ TOP รวมถึงอนาคตสินทรัพย์จากบริษัทในกลุ่มอีก อย่างไรก็ตามพบว่าปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติและสถาบันการเงินสนใจบริษัทนี้ค่อนข้างมาก โดยจะให้เงินกู้และทุนจากกลุ่มปตท.หรือพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนในอนาคตได้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีการไปโรดโชว์มามีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ไม่น้อยกว่า 10 ราย เข้ามาขอพบเพื่อร่วมลงทุนด้วย โดยหลังจากนี้บริษัทมีแผนจะจัดหาเงินกู้ที่อัตราดอกเบี้ยในระดับที่ดีและระยะยาวเพียงพอราว 10- 15 ปีก่อน ส่งผลให้ธนาคารสนใจล้นหลามมากๆ ซึ่งหลังจากการหาเงินกู้ได้แล้วบริษัทจะมีการคุยพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนเพื่อดูโอกาสการเติบโตในอนาคตอีกว่าจะมีการนำเอาทรัพย์สินเข้ามาในพอร์ตเพิ่มเติมได้ยังไงบ้าง เพื่อเป็น International energy Infrastructure Flagship สำหรับกลุ่มปตท.ต่อไป สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 69 มองว่ายังมีความท้าทายมากขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากประเมินทิศทางราคาน้ำมันและพลังงานอาจไม่ปรับตัวสูงมากนัก จากด้านภาวะเศรษฐกิจโลที่ไม่ค่อยดีนัก ประกอบกับปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกพลัสที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยคาดว่ากำไร (มาร์จิน) กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีน่าจะทรงตัว ทำให้บริษัทต้องมุ่งเน้นการ Synergy ธุรกิจภายในกลุ่มให้เกิดประสิทธิภาพ รวมถึงความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ ส่วนการลงทุนในปีหน้าคาดว่ายังต้องระมัดระวังต่อไป โดยบริษัทจะเน้นการลงทุนที่ปลอดภัยและมั่นคง อาทิ การลงทุนในแหล่งก๊าซฯที่ดีหรือการทำโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจส่งออกและนำเข้าก๊าซฯ ซึ่งเหล่านี้จะสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดที่ค่อนข้างมาก จึงอาจเลือกการลงทุนที่สามารถมีกำไรได้ทันทีเลย รวมถึงสร้างความสมดุลด้านความมั่นคงพลังงานและความมั่นคงของผู้ถือหุ้นควบคู่กัน นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าต้องมี LNG ในพอร์ตประมาณ 10 ล้านตัน ภายในปี 73 เพื่อนำไปซื้อมาขายไป (เทรดดิ้ง) โดยจะมีการจัดหาในแหล่งที่ราคาถูกและจัดส่งไปขายในตลาดที่มีความต้องการ เช่น ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง เพราะปีหน้าคนยังมองว่าราคา LNG ยังไม่แพง ซึ่งในช่วงตลาดขาลงบริษัทอาจมีการไปซื้อในปริมาณที่ต้องการตามเป้าหมายในอนาคตได้ |