ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนลบในวันพฤหัสบดี (6 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดลดลง 398.70 จุด เนื่องจากแรงเทขายหุ้นเทคโนโลยีกลับมาอีกรอบ หลังนักลงทุนวิตกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและความกังวลว่า มูลค่าหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกผลักดันให้สูงเกินจริง ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 46,913.65 จุด ลดลง 398.70 จุด หรือ 0.84% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,720.38 จุด ลดลง 75.91 จุด หรือ 1.12% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,053.99 จุด ลดลง 445.80 จุด หรือ 1.90% ดัชนีหลักทั้ง 3 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงทั้งหมด โดยแรงซื้อขายเสี่ยงลดลงจากความวิตกกังวลว่า ราคาหุ้นในปัจจุบันตึงตัวเกินไป หลังปรับขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่ม AI เป็นสำคัญ โดยดัชนีชิปเซมิคอนดักเตอร์ฟิลาเดลเฟีย ร่วงลง 2.4% สะท้อนแรงขายในหุ้นเทคโนโลยีที่เคยเป็นหัวใจสำคัญของการดีดตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ของวอลล์สตรีทในช่วงที่ผ่านมา พอล โนลเต (Paul Nolte) ที่ปรึกษาการลงทุนอาวุโสจาก Murphy & Sylvest กล่าวว่า “มูลค่าหุ้นยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลในระยะยาว แต่โดยรวมตลาดยังเป็นขาขึ้นอยู่” พร้อมเสริมว่า “ต้นสัปดาห์เราลดลงราว 1-1.5% แต่วันถัดมาก็เด้งกลับขึ้นมา 0.8% แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมีพฤติกรรมซื้อเมื่อย่อตัวอยู่” นักลงทุนต้องเผชิญกับการขาดข้อมูลเศรษฐกิจจากภาครัฐ เนื่องจากภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังดำเนินอยู่ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องประเมินแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยอิงข้อมูลจากภาคเอกชนแทน รายงานจากบริษัทจัดหางานระดับบริหาร Challenger, Gray & Christmas ระบุว่า การปลดพนักงานในเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 183.1% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 20 ปี โดยสาเหตุหลักมาจากการลดต้นทุนและการปรับโครงสร้างองค์กรที่เกี่ยวข้องกับ AI 
ขณะที่ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์แรงงาน Revelio Labs ชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการปลดพนักงาน 9,100 ตำแหน่งในเดือนเดียว โดยส่วนใหญ่อยู่ในภาครัฐ ไมเคิล กรีน (Michael Green) หัวหน้านักกลยุทธ์ของ Simplify Asset Management กล่าวว่า “รายงานตัวเลขการปลดพนักงานจาก Challenger สะท้อนว่าตลาดแรงงานอาจอ่อนแอกว่าที่เฟดรับรู้ ซึ่งส่งผลให้ตลาดเริ่มปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.” ขณะเดียวกัน ศาลสูงสหรัฐฯ ได้เริ่มพิจารณาคดีว่ามาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นการใช้อำนาจประธานาธิบดีเกินขอบเขตหรือไม่ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P 500 พบว่าหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ร่วงแรงที่สุด 2.5% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงาน เป็นกลุ่มเดียวที่ปิดในแดนบวก ข้อมูลล่าสุดจาก LSEG บ่งชี้ว่า ฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทในดัชนี S&P 500 ใกล้สิ้นสุดลง โดยพบว่ามี 424 บริษัทที่รายงานผลแล้ว ซึ่งในจำนวนนี้ 83% มีกำไรสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และนักวิเคราะห์คาดว่ากำไรของบริษัทในดัชนีจะเติบโต 16.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากประมาณการเดิมที่ 8% เมื่อต้นไตรมาส ด้านความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัว พบว่าหุ้น DoorDash ร่วงหนัก 17.5% หลังรายงานกำไรไตรมาส 3 ต่ำกว่าที่ตลาดคาด เนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้น ส่วนหุ้นผู้ผลิตเครื่องสำอาง Elf Beauty ดิ่งลงถึง 35% หลังคาดการณ์รายได้และกำไรประจำปีต่ำกว่าคาดการณ์ ขณะที่หุ้น Snap พุ่งขึ้น 9.7% หลังรายได้ไตรมาส 3 สูงกว่าคาดและประกาศความร่วมมือกับบริษัท Perplexity AI ที่มา Reuters 
|