SCC เปิดงบ Q3/68 ขาดทุน 669 ลบ. หลังปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือของกลุ่มปิโตรเคมี ส่วน 9 เดือน กำไร 17,766 ลบ. ประเมินความต้องการใช้ซีเมนต์ในประเทศคาดโตต่อเนื่อง จากการดำเนินโครงการของภาครัฐ และ ในภูมิภาคที่ยังคงมีการเติบโต 5-10% บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ว่า ผลการดำเนินงานเอสซีจี ในไตรมาสที่ 3/68 บริษัทมีผลขาดทุน 669 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 67 ที่มีกำไร 721 โดยหลักสาเหตุจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ และ สอดคล้องกับ EBITDA ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน EBITDA เพิ่มขึ้น 44% เป็นผลมาจากเงินปันผลรับตามฤดูกาลที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) ประกอบกับ การบริหารจัดการภายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ รวมถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของเอสซีจีพี และ เอสซีจี เดคคอร์ หากไม่รวมขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือของเอสซีจีซี รายการปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจและรายการพิเศษ กำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 774 ล้านบาท เมื่อเทียบกับขาดทุนสำหรับงวดในปีก่อน อยู่ที่ 160 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการบริหารจัดการภายในให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของเอสซีจีพี และ เอสซีจี เดคคอร์ รายได้จากการขายลดลง 5% จากความต้องการที่ปรับลดลงจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์ และ การก่อสร้าง ราคาสินค้าที่ปรับลดลงของเอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) และ รายได้จากการขายที่ลดลงของเอสซีจีพี และ เอสซีจี เดคคอร์ ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เอสซีจีมี EBITDA ที่แข็งแกร่งที่ 14,191 ล้านบาท ลดลง 19% สาเหตุหลักมาจากเงินปันผลรับตามฤดูกาล ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือของเอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) จากการกลับมาเดินเครื่องโรงงาน LSP ที่เวียดนาม ส่วนต่างราคาสินค้าปิโตรเคมีลดลง ปัจจัยฤดูกาลจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง ในขณะที่เอสซีจี เดคคอร์ มี EBITDA เพิ่มขึ้น ทางด้านรายได้จากการขายอยู่ที่ 121,793 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 2% จากปัจจัยฤดูกาลของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์ และ การก่อสร้าง และ รายได้จากการขายที่ลดลงของเอสซีจีพี 
ในช่วง 9 เดือนของปี 68 มีกำไร 17,766 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159% ส่วน EBITDA เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 44,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากเงินปันผลรับตามฤดูกาลที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) และ จากการบริหารจัดการภายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นของเอสซีจีซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ หากไม่รวมขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือของเอสซีจีซี รายการปรับโครสร้างการดำเนินงานและธุรกิจและรายการพิเศษกำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 5,041 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับกำไรสำหรับงวดจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 5,377 ล้านบาท โดยหลักมาจากค่าใช้จ่ายจาก LSP ที่เวียดนามเพิ่มขึ้น (จากค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ย) ภายหลังจากเริ่มดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบ(COD) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 รายได้จากการขายอยู่ที่ 370,870 ล้านบาท ลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากความต้องการที่อ่อนตัวลงจากเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และ เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล รายได้จากการขายที่ลดลงของเอสซีจีพี และ เอสซีจี เดคคอร์ 
สำหรับธุรกิจเคมิคอลส์ แนวโน้มราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง แต่ราคาแนฟทำยังคงทรงตัวจากอุปทานที่ลดลง และ ความต้องการใช้ซีเมนต์ในประเทศคาดว่า จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการดำเนินโครงการของภาครัฐ เช่นเดียวกับในภูมิภาคที่ยังคงมีอัตราการเติบโตสูงที่ประมาณ 5-10% นอกจากนี้ เอสซีจียังคงรักษาเสถียรภาพของกระแสเงินสดไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยรายจ่ายลงทุน และ เงินลงทุนในปี 68 อยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท และ มีความยืดหยุ่นในการปรับลด ส่วน EBITDA คาดการณ์ปรับเพิ่มขึ้นในปี 68 เมื่อเทียบกับปี 67 ซึ่งเป็นผลจาการบริหารจัดการภายในให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประกอบกับ เร่งการดำเนินงานในการขายสินทรัพย์ (Asset Divestments) ท้้งนี้ ในปี 68 เอสซีจีมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอยู่ที่ 55,200 ล้านบาท โดยอัตราการต่ออายุหุ้นกู้(Re-subscription rate) ของเอสซีจี ในช่วง 9 เดือนของปี 68 อยู่ที่ประมาณ 90% อีกทั้ง เอสซีจีให้ความสำคัญ และ เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ในธุรกิจของเอสซีจีที่ดำเนินงานในอาเซียน ขยายการเข้าถึงตลาดเวียดนาม บริหารจัดการภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มสัดส่วนสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value-Added) หรือ HVA และ เพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าจากกลุ่มสินค้าราคาคุ้มค่า(Smart Value Products) ขยายปูนคาร์บอนต่ำ Gen 2 และ Gen 3 รวมถึงขยายไปยังตลาดอาเซียน 
|