โอเปกพลัส (OPEC+) มีมติคงระดับการผลิตน้ำมัน สำหรับไตรมาสแรกของปี 2026 ในการประชุมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรก ที่กลุ่มตัดสินใจไม่ปรับโควตา ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะอุปทานล้นตลาด ซึ่งทำให้กลุ่มชะลอความพยายามฟื้นส่วนแบ่งตลาดน้ำมันโลก การประชุมครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ กำลัพยายามเร่งเจรจาเพื่อจัดทำข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งหากการเจรจามีความคืบหน้า และนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ก็อาจทำให้ปริมาณน้ำมันเข้าสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้นอีก ในทางกลับกัน หากการเจรจาล้มเหลว รัสเซียอาจเผชิญความเสี่ยงถูกจำกัดการส่งออกน้ำมันเพิ่มเติม ทั้งนี้ กลุ่ม OPEC+ ประกอบด้วยกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) และพันธมิตรที่นำโดยรัสเซีย ซึ่งรวมกันมีสัดส่วนการผลิตน้ำมันราวครึ่งหนึ่งของทั้งโลก ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ปิดการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ใกล้ระดับ 63 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งลดลง 15% นับตั้งแต่ต้นปีผ่านมา สะท้อนถึงความกังวลต่อแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันโลกที่อ่อนแรง โดยฮอร์เค ลีออน อดีตเจ้าหน้าที่ OPEC และปัจจุบันเป็นหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์ของ Rystad Energy ให้ความเห็นว่า สาระสำคัญจากกลุ่มมีความชัดเจนว่า “การรักษาเสถียรภาพของตลาดมีความสำคัญกว่าการเพิ่มเป้าหมาย ในช่วงที่แนวโน้มตลาดกำลังแย่ลงอย่างรวดเร็ว” 
OPEC ระบุในแถลงการณ์ว่า มีสมาชิก OPEC+ จำนวน 8 ประเทศ ลงมติชะลอการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในไตรมาสแรกของปี 2026 หลังทยอยคืนปริมาณการผลิตน้ำมันราว 2.9 ล้านบาร์เรลต่อวันสู่ตลาด นับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2025 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการเพิ่มอุปทานบางส่วนสู่ตลาด แต่ OPEC+ ยังคงมีมาตรการลดกำลังการผลิตรวมราว 3.24 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 3% ของอุปสงค์น้ำมันโลก โดยการประชุมครั้งนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตรการดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นการลดกำลังกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวันของประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีผลจนถึงสิ้นปี 2026 รวมถึงการลดกำลังการผลิตลงอีก 1.24 ล้านบาร์เรลต่อวันจากโควตาการลดลง 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน ที่ 8 ประเทศเริ่มมาตั้งแต่เดือนต.ค. ทั้งนี้ OPEC ระบุว่า OPEC+ ได้เห็นชอบกลไกในการประเมินกำลังการผลิตสูงสุดของแต่ละประเทศสมาชิก เพื่อใช้เป็นฐานในการกำหนดโควตาการผลิตตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป กระบวนการประเมิน จะดำเนินระหว่างเดือนม.ค. ถึงก.ย. 2026 เพื่อให้ทันต่อการจัดสรรโควตาการผลิตปี 2027 โดยจะทำการประเมินกำลังการผลิตของสมาชิก 19 จาก 22 ประเทศ ส่วนประเทศที่ถูกคว่ำบาตร จะถูกประเมินแยกต่างหาก หรือใช้ค่าเฉลี่ยการผลิตจริงช่วงเดือนส.ค.–ต.ค. 2026 เป็นเกณฑ์ ซึ่งประเทศเหล่านี้ ประกอบด้วยรัสเซีย อิหร่าน และเวเนซุเอลา ที่มา Reuters 
|