สหรัฐฯ ประกาศแสดงจุดยืนสนับสนุนญี่ปุ่นอย่างชัดเจนท่ามกลางความขัดแย้งกับจีน หลังจากที่ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประเด็นไต้หวัน ซึ่งทำให้จีนเกิดความไม่พอใจ โดยจอร์จ กลาส เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น ระบุว่า ปฏิกิริยาบางส่วนจากจีนเป็นเรื่องเกินกว่าเหตุ จอร์จ กลาส เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น กล่าวหลังการพบปะกับโทชิมิทสึ โมเทกิ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นว่า “นี่เป็นตัวอย่างคลาสสิกของการบีบคั้นทางเศรษฐกิจโดยจีน และผมขอยืนยันตรงนี้ ในนามของท่านประธานาธิบดี ในนามของตัวผมเอง และของสถานทูตต่อท่านนายกรัฐมนตรีว่า สหรัฐฯ พร้อมสนับสนุนญี่ปุ่น” พร้อมเสริมว่าสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น ยังคงมุ่งรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค แม้จีนจะพยายามกระพือความขัดแย้งก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะยังไม่ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ต่อความตึงเครียดล่าสุดนี้ แต่กลาสได้ใช้สื่อสังคมออนวิจารณ์จีนและเจ้าหน้าที่จีนหลายครั้ง ต่อการตอบโต้ถ้อยคำของทาคาอิจิเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยนางทาคาอิจิ ถือเป็นผู้นำญี่ปุ่นคนแรกในรอบหลายทศวรรษ ที่กล่าวถึงความเสี่ยงของวิกฤตช่องแคบไต้หวันเข้ากับความเป็นไปได้ ที่ญี่ปุ่นอาจส่งกองกำลังเข้าควบคุบสถานการณ์ ซึ่งความเห็นดังกล่าวทำให้จีนตอบโต้ทันที โดยเตือนประชาชนไม่ให้เดินทางไปญี่ปุ่น พร้อมระงับการนำเข้าสินค้าอาหารทะเล กลาสยังระบุด้วยว่า การระงับนำเข้าสินค้าอาหารทะเลของจีน กำลังสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวประมงญี่ปุ่นที่รอการฟื้นสัญญาซื้อขายมาอย่างยากลำบาก พร้อมกล่าวว่าเราหนุนหลังพวกคุณเช่นกัน นอกจากนี้ จีนยังชะลอการอนุมัติฉายภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่องใหม่ และระงับภาพยนตร์อีก 6 เรื่อง ที่เดิมได้รับอนุมัติและกำหนดวันฉายแล้ว 
ก่อนหน้านี้ ทาคาอิจิระบุว่า หากมีการใช้กำลังทางทหารในกรณีไต้หวัน รวมถึงการใช้เรือรบ เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเข้าข่ายสถานการณ์คุกคามการอยู่รอดของประเทศ ซึ่งเป็นนิยามที่สำคัญ เพราะเปิดทางให้ญี่ปุ่นสามารถใช้กำลังทหารเพื่อช่วยปกป้องชาติพันธมิตรได้โดยชอบธรรม โดยคำกล่าวดังกล่าว จุดชนวนให้ เซวีย เจี้ยน กงสุลใหญ่จีนประจำเมืองโอซาก้า แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงโดยกล่าวหาว่าญี่ปุ่นกำลังเดินบนเส้นทางอันตรายที่นักการเมืองผู้โง่เขลาเป็นคนเลือก พร้อมโพสต์ข้อความข่มขู่ ที่ภายหลังถูกลบทิ้งในเวลาต่อมา ขณะเดียวกัน อดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และนักวิเคราะห์จีนระบุว่า จากกรณีความขัดแย้งระหว่างจีนและญี่ปุ่นรอบล่าสุด ทางการจีน ไม่น่าจะงัดมาตรการควบคุมส่งออกแร่หายากมาใช้ หลังเคยนำมาใช้แล้วในอดีตเมื่อปี 2010 ซึ่งจีนตอบโต้ด้วยการจำกัดการส่งออกแร่หายากให้ญี่ปุ่นอย่างไม่เป็นทางการ ทำให้ญี่ปุ่นต้องเร่งหาทางเลือกอื่น สำหรับวัตถุดิบสำคัญที่จำเป็นต่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า สมาร์ทโฟน และจรวดปล่อยนำวิถี นักวิเคราะห์ชี้ว่า เหตุผลสำคัญคือบริบทที่เปลี่ยนไป หากในอดีต จีนจะโจมตีเป้าหมายเฉพาะประเทศ แต่ในปัจจุบัน โลกกลับพึ่งพาจีนอย่างมาก ทั้งด้านการทำเหมืองและการถลุงแร่หายาก ขณะที่จีนเอง ก็เพิ่งแสดงให้เห็นถึงความเต็มใจในการใช้ความได้เปรียบเชิงทรัพยากรนี้กดดันประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนลังเล คือการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยหลังการพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงที่เกาหลีใต้ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงเรื่องการจำกัดการส่งออกแรร์เอิร์ธสำหรับทั้งโลกแล้ว การเล่นงานญี่ปุ่นตอนนี้ อาจบั่นทอนบรรยากาศผ่อนคลายดังกล่าว และยั่วยุให้ประธานาธิบดีทรัมป์จับตามองมากขึ้น ทั้งนี้ แม้ความสัมพันธ์ระหว่างจีน–ญี่ปุ่น จะมีแนวโน้มตึงเครียดต่อเนื่อง แต่จนถึงขณะนี้ จีนดูเหมือนจะค่อย ๆ เพิ่มแรงกดดันโดยไม่ก้าวล่วงจนถึงระดับที่จะดึงให้นานาชาติร่วมกันตอบโต้ ซึ่งจีนได้ระงับการทยอยฟื้นการนำเข้าสินค้าทะเลจากญี่ปุ่น พร้อมเตือนนักท่องเที่ยวไม่ให้เดินทางไปญี่ปุ่น และคอนเสิร์ตของศิลปินญี่ปุ่นหลายงานถูกยกเลิกแบบกะทันหัน โดยผู้จัดบางรายอ้างว่าเกิดจากอุปกรณ์ขัดข้องกะทันหัน ที่มา Bloomberg (1) และ (2) 
|