ราคาทองคำที่พุ่งทำสถิติใหม่หลายระลอกในปีนี้ ทำให้กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ และบรรดา Family Offices หันมาปล่อยเช่าทองคำแท่งให้กับผู้ผลิตอัญมณีและโรงงานที่ต้องใช้ทองคำเป็นปัจจัยในการผลิต โดยได้รับผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งถือเป็นการท้าทายสถานะเดิมของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทน Gaurav Mathur ผู้ก่อตั้ง SafeGold เล่าว่า มีลูกค้าที่เก็บสะสมทองคำเป็นมูลค่าสูง โทรมาสอบถามให้ช่วยปล่อยเช่าทองคำให้ ซึ่งตั้งแต่ช่วงต้นปีมานี้ ปริมาณการปล่อยเช่าทองคำของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมาก จาก 2 ล้าน เป็น 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ลูกค้าที่ร่ำรวยเริ่มเปิดใจกับการนำทองคำมาปล่อยเช่ามากขึ้น ปัจจุบัน SafeGold เสนอผลตอบแทนที่ 2% สำหรับการปล่อยเช่าแบบมีหลักประกัน และ 4% สำหรับการปล่อยเช่าแบบไม่มีหลักประกัน และเคยสูงถึง 3-5% ก่อนหน้านี้ในปีนี้ ผู้คร่ำหวอดในแวดวงเผยกับ CNBC ว่า ความน่าดึงดูดใจนี้เป็นไปตามกลไกล นักลงทุนที่ถือครองทองคำอยู่แล้ว สามารถรับผลตอบแทนที่จ่ายเป็นทองคำเมื่อชำระค่าเช่า ฝั่งผู้ผลิตอัญมณีและโรงงานที่เช่าทองเพื่อเป็นทุนสำหรับการผลิตในแต่ละวัน ซึ่งเป็นผู้กู้ยืมจะคืนทองเป็นปริมาณเท่าที่กู้ไป แทนการคืนในรูปเงินดอลลาร์ จึงสามารถหลีกเลี่ยงความผันผวนของราคาทองได้ 
กลไกการปล่อยเช่าทองคำ การปล่อยเช่าทองคำมีหลักการคล้ายคลึงกับการปล่อยเงินกู้ ต่างกันตรงที่ใช้น้ำหนักทองคำเป็นสินทรัพย์ ไม่ใช่เงินสด โดยที่ - นักลงทุน (ผู้ให้เช่า) จะส่งมอบทองคำให้กับแพลตฟอร์มหรือสถาบันการเงิน ซึ่งจะนำทองคำไปปล่อยเช่าให้ธุรกิจอีกทอดหนึ่ง
- ผู้เช่า ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจ เช่น ผู้ผลิตอัญมณี โรงหล่อทอง หรือบริษัทที่ต้องการทองคำไปใช้ในการผลิต ไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเป็นเงินสด ซึ่งเสี่ยงต่อความผันผวนของราคา แต่จะขายคืนผลิตภัณฑ์ตามราคาทองคำ ณ ปัจจุบัน นั่นแปลว่า เมื่อถึงเวลาที่ต้องคืนทองคำ ผู้เช่าจะซื้อทองคำแท่งในน้ำหนักเท่าเดิมกลับคืนมาในราคาปัจจุบัน เมื่อราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น ราคาขายและต้นทุนในการชำระคืนก็จะเพิ่มขึ้นไปพร้อม ๆ กัน
- การชำระคืนจะจ่ายเป็นอัตราค่าเช่า ซึ่งเป็นดอกเบี้ยรูปแบบหนึ่ง และเมื่อครบกำหนดสัญญา ผู้เช่าต้องคืนทองคำในปริมาณเท่าที่ยืมไป หรือขยายสัญญาเช่าออกไป
ราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นกว่า 50% ในปีนี้ ทำให้มูลค่าทองคำแท่งสูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการเงินทุนตลอดห่วงโซ่อุปทานเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะเงินกู้จากธนาคารจำนวนเท่าเดิม แต่ซื้อทองคำได้น้อยลง การเช่าทองคำจึงเป็นทางออกที่สำคัญ ขณะที่แพทริค ทูฮีย์ (Patrick Tuohy) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Goldstrom กล่าวว่า "ความต้องการการปล่อยเช่าทองคำในลูกค้ากลุ่มธุรกิจอัญมณีของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตลอดปีที่ผ่านมา เงินกู้จากธนาคารจำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เท่าเดิมจึงสามารถซื้อทองคำได้น้อยลงมาก ผู้ผลิตอัญมณีจึงต้องการทางเลือกอื่น ๆ และการปล่อยเช่าทองคำโดยจ่ายคืนเป็นทองคำจึงเป็นทางออก" แม้ว่า ผลตอบแทนจะน่าดึงดูด แต่การปล่อยเช่าทองคำก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ซึ่งได้แก่ - ความเสี่ยงจากการที่ผู้เช่า อาจไม่สามารถจ่ายคืนทองคำได้ตรงเวลา แม้จะเกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็มีความเป็นไปได้ หากผู้เช่าประสบปัญหาหรือบริหารกระแสเงินสดผิดพลาด
- ความเสี่ยงจากการดำเนินงาน นำไปสู่การคืนทองคำปลอม หรือทองคำที่มีความบริสุทธิ์ไม่ตรงตามที่ตกลงไว้
สำหรับแนวทางป้องกัน แพลตฟอร์มผู้ให้เช่าทองคำได้ใช้มาตรการลดความเสี่ยง เช่น การทำประกัน, การตรวจสอบบัญชี, การใช้กล้องวงจรปิด และเทคโนโลยี RFID (Radio Frequency Identification) เพื่อติดตามสินค้าคงคลังของที่ผลิตจากทองคำที่เช่ามาตลอด 24 ชั่วโมง โดยระบบแท็ก RFID (Radio Frequency Identification) ของ Goldstrom จะติดชิปวิทยุเข้ากับเครื่องประดับทุกชิ้นที่ทำจากทองคำ ซึ่งเช่ามาจากนักลงทุน โดยแท็กเหล่านี้จะส่งข้อมูลสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์กลับไปยังแพลตฟอร์มของ Goldstrom และหากเกิดการผิดนัดชำระ แพลตฟอร์มผู้ให้บริการสามารถดำเนินการทางกฎหมายเพื่อยึดและหลอมละลายทองเพื่อนำทองคำกลับคืนมาได้ ทำให้การสูญหายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ที่มา CNBC 
|