สภาพัฒน์ฯ เผยเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/2568 ขยายตัว 1.2% แต่ติดลบ 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาก่อนหน้า โดยเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส ขณะที่ทั้งปีคาดโต 2% อานิสงส์ ส่งออก-บริโภคเอกชน ด้านปีหน้าคาดขยายตัว 1.2-2.2% นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช.เผย เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2568 ขยายตัว 1.2% ชะลอลงจาก 2.8% จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ขยายตัวได้ 2.4% ขณะที่ทั้งปีนี้ คงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่ 2% และปี 2569 คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ 1.2-2.2% 
“ไตรมาส 3/2568 ส่วนหนึ่งที่ชะลอลง จากความเชื่อมั่น มีความไม่แน่นอนและผันผวนทางการเงินค่อนข้างเยอะ รวมถึงสาขาการผลิต โดยปิโตรเลียมมีการผลิตที่ลดลงด้วย ขณะเดียวกันยังมีผลกระทบจากความขัดแย้งในกัมพูชาด้วย ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2568 ที่ติดลบ 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ถือเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส ส่วนจะเกิด Tachnical recession หรือไม่นั้น คงต้องรอดูตัวเลขอื่นๆประกอบด้วย ”นางสาวอ้อนฟ้า กล่าว สำหรับเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2568 พบว่า การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 2.6% ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการขยายตัวของการใช้จ่ายในทุกหมวด ด้านการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล ลดลง 3.9% โดยการซื้อสินค้าและบริการ รายจ่ายการโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงิน และค่าตอบแทนแรงงาน ลดลง ด้านการลงทุนรวมขยายตัว 1.1% ชะลอลงจาก 5.8% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 4.2% ส่วนการลงทุนภาครัฐ ลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส เป็นผลจากการลดลงของการลงทุนในหมวดก่อสร้าง ขณะที่การลงทุนในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือขยายตัว 1% ขณะที่การส่งออกมีมูลค่า 86,196 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11.5% ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ โดยกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกลดลง เช่น ข้าว , ยาง , ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม , เคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี และสิ่งมองและเครื่องนุ่มห่ม รวม 9 เดือนแรกของปี การส่งออกมีมูลค่า 250,811 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวได้ 13.80% ด้านการนำเข้ามีมูลค่า 79,231 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.20% ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้น 8.9% ราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 3.1% โดย 9 เดือนแรก การนำเข้ามีมูลค่า 230,384 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.10% สำหรับการท่องเที่ยว พบว่า นักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมีทั้งสิ้น 7.43 ล้านคน ลดลง 13.50% โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ มาเลเซีย , จีน , อินเดีย , เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ขณะที่รายรับจากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 0.60 ล้านล้านบาท ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ไตรมาส หรือ 2.30% ส่วน 9 เดือนแรก พบว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 24.11 ล้านคน ลดลง 7.60% เศรษฐกิจไทยในปีนี้ สศช. ยังคงประมาณการขยายตัวไว้ที่ 2% ชะลอลงจากปีก่อนที่ขยายตัว 2.5% ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้คาดว่าจะติดลบ 0.2% ด้านการส่งออกสินค้าปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 11.20% ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะอยู่ที่ 10.40% ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ประเมินว่า จะมีแนวโน้มชะลอลตัวลงตามแนวโน้มการลดลงของการส่งออกสินค้าภายหลังจากการเร่งขึ้นในเกณฑ์สูงในปีก่อน สอดคล้องกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกท่ามกลางการดำเนินมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องและเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวของการผลิตอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชน ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 0-1% ***ส่อง 4 ปัจจัยหนุน-เสี่ยง ต่อเศรษฐกิจไทยปี 2569 ขณะเดียวกัน ระดับหนี้สินภาคเอกชนที่ยังอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางการเพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินยังเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ 1.การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน โดยคาดว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน จะยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง 2.แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาล สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมปีประจำปีงบประมาณ 2569 โดยการเพิ่มขึ้นของกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ที่วงเงิน 2.49 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% จากปีงบประมาณก่อนหน้า 3.การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง สอดคล้องกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเที่ยวบินเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดเส้นทางการบินใหม่เพื่อเชื่อมโยงตลาดปลายทางหลักสู่ประเทศไทย 4.แนวโน้มการขยายตัวในเกณฑ์ดีของภาคการเกษตร โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณน้ำที่เพียงพอและแนวโน้มการปรับเข้าสู่สภาวะเป็นกลางของสถานการณ์เอนโซนับตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่ 2/2569 อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของปริมาณผลผลิตจะส่งผลให้ระดับราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวลดลง สอดคล้องกับแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงท่ามกลางแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก ขณะที่ข้อจำกัด และปัจจัยเสี่ยงประกอบด้วย 1.การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าโดยการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หรือ ภาษีศุลกากรตอบโต้ ที่เรียกเก็บต่อประเทศไทย ในอัตรา 19% โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่องทางที่สำคัญ เช่น ผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่การผลิตของประเทศที่ถูกกีดกันจากสหรัฐฯ ผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่เร่งตัวสูงขึ้น และผลกระทบต่อภาคการผบลิตภายในประเทศ เนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้า 2.แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก โดยมีเงื่อนไขความเสี่ยงที่ต้องติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ประกอบด้วย ความยืดเยื้อและความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศและการเพิ่มขึ้นของมาตรการกีดกันทางการค้า ทิศทางการดำเนินนโนบายการเงินของธนาคารสำคัญ ความเสี่ยงจากแนวโน้มวัฏจักรขาลงของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงทางด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความผันผวนของตลาดทุน เนื่องมาจากแนวโน้มการปรับฐานราคา ของราคาหลักทรัพย์ของบริษัทเทคโนโลยีที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ 3.ระดับหนี้ภาคเอกชนที่ยังอยู่ในระดับสูงที่จะเป็นข้อจำกัดของการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในไตรมาสที่ 2/2568 อยู่ที่ 86.8% แม้ว่าจะลดลงจาก 89.7% แต่ยังคงสูงกว่า 82.6% ในไตรมาส 2/2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะเดียวกันคุณภาพสินค้ายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลซึ่งสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และสัดส่วนสินเชื่อจัดชั้นพิเศษต่อสินเชื่อรวม ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง 4.บรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน สะท้อนจากข้อมูลดันชีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของไทย ที่มีแนวโน้มผันผวนสูงในช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะส่งผลต่อกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 ให้มีความล่าช้าด้วย นางสาวอ้อนฟ้า กล่าวว่า สำหรับสมมติฐานการประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ประกอบด้วย เศรษฐกิจโลกในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวได้ 2.80% ค่าเงินบาทเฉลี่ยในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ในช่วง 32-33 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นอย่างช้าๆ จากเฉลี่ย 32.90 บาทต่อดอลลาร์ในปีนี้ สอดคล้องกับทิศทางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลจากความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่การส่งออกคาดว่าจะติดลบ 0.3% การนำเข้าขยายตัว 0.7% ด้านราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ 58-68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงจาก 68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในปีนี้ โดยมีปัจจัยที่จะส่งผลกระทบคือ แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก แนวโน้มการปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศ OPEC+ ***เปิด 7 ข้อเสนอแนะบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค การบริโภคนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปีนี้ และปีหน้า ประกอบด้วย 1.การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนภาคใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 2.การเร่งรัดการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาความปลอดภัยและการหลอกลวงนักท่องเที่ยว โดยให้ความสำคัญกับการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง การแก้ปัญหาอาชกรรมและเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายข้ามชาติที่แฝงตังกับภาคการท่องเที่ยว การเตรียมมาตรการเพื่อรองรับปัญหามลพิษทางอากาศ 3.การดูแลภาคการเกษตร โดยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุกทกภัย การเตรียมความพร้อมรองรับผลผลิตทางการเกษตรจะออกสู่ตลาดในฤดูการผลิตในปี 2569 4.การขับเคลื่อนภาคการส่งออก โดยให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนการผลิตของภาคการผลิตและการส่งออก การลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐญ การขยายตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ การส่งเสริมการใช้สินค้าและวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในประเทศ การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการสำคัญๆของประเทศคู่ค้า และการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนในภาคธุรกิจ 5.การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดนเร่งรัดให้นักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติและการออกบัตรส่งเสริมการลงทุน ในช่วงปี /ถ67-2569 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว การเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ 6.การแก้ไขปัญหาด้านการเข้าถึงสินเชื่อของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน เช่น การสนับสนุนการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน และลดแรงกดดันจากสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในภาคครัวเรือน การให้ความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่องและได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากมาตรการกีดกันทางการค้า เป็นต้น 7.การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง 
|