กิจกรรมภาคการผลิตของจีนในเดือนพ.ย. ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยอยู่ที่ระดับ 49.2 แต่ยังคงอยู่ในภาวะหดตัว เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน นับเป็นการชะลอตัวต่อเนื่องยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่สัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจยังทวีความรุนแรงมากขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ระบุว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตในเดือนพ.ย. อยู่ที่ 49.2 ซึ่งยังคงต่ำกว่าระดับ 50 ที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและการหดตัว โดยนับเป็นการหดตัว 8 เดือนติดต่อกัน ขณะที่ดัชนีกิจกรรมนอกภาคการผลิต ซึ่งรวมการก่อสร้างและบริการ อยู่ที่ 49.5 หลังจากขยับขึ้นแตะ 50.1 ในเดือนต.ค. โดยถือเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี หลังได้รับผลกระทบจากความอ่อนแอของภาคอสังหาริมทรัพย์และบริการที่อยู่อาศัย ตัวเลขล่าสุด สะท้อนภาพรวมเบื้องต้นของเศรษฐกิจจีนในเดือนพ.ย. หลังจากต้องเผชิญความปั่นป่วนในด้านการค้าโลกและการลดลงของการลงทุนในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งในไตรมาส 3 การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวในอัตราต่ำที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2025 ขณะที่การส่งออกหดตัวกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากอุปสงค์ทั่วโลกยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยการชะลอตัวของการส่งออกไปยังสหรัฐฯ 
แม้ก่อนหน้านี้ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะผ่อนคลายลง หลังการบรรลุข้อตกลงชั่วคราวในการประชุมที่เกาหลีใต้ ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แต่รายละเอียดสำคัญของข้อตกลง รวมถึงประเด็นการส่งออกแร่หายากจากจีน ยังอยู่ระหว่างการเจรจา สะท้อนถึงความเปราะบางของความร่วมมือดังกล่าว ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งทางการทูตกับญี่ปุ่นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เพิ่มความไม่แน่นอนทางการค้าอีกขั้น โดยจีนกำลังพิจารณามาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจ แม้จะเผชิญแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งภาคโรงงานของจีนยังคงเป็นอุปสงค์ในประเทศที่ซบเซา โดยยอดค้าปลีกในเดือนต.ค. ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงยาวที่สุด นับตั้งแต่จีนสั่งปิดร้านค้าในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อกว่า 4 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการอ่อนแอของเศรษฐกิจล่าสุด ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจีน จะออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม โดยผู้กำหนดนโยบายระบุว่า ไม่จำเป็นต้องเร่งออกมาตรการใหม่ หลังยังมีโอกาสบรรลุเป้าหมายการเติบโตทั้งปีที่ราว 5% ซึ่งนับตั้งแต่ปลายเดือนก.ย.ที่ผ่านมา จีนได้อัดฉีดมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (141,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งรวมถึงโควตาพันธบัตร ที่ยังไม่ได้ใช้ สำหรับให้มณฑลต่าง ๆ ใช้ขยายการลงทุนและชำระหนี้ค้างชำระแก่ภาคธุรกิจ ตลอดจนเงินทุนใหม่สำหรับธนาคารที่มีหน้าที่กำกับดูแลนโยบายเพื่อเร่งการลงทุน ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า รัฐบาลจีนระบุชัดว่า จะกำหนดให้ภาคเทคโนโลยีและการผลิต ยังคงเป็นลำดับความสำคัญสูงสุด ควบคู่กับการเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนการบริโภคในระบบเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยปี 2025 การส่งออกสุทธิ ยังคงมีบทบาทสำคัญ คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของการเติบโตทางเศรษฐกิจจีน ที่มา Bloomberg

|