กระทรวงการต่างประเทศจีน ระบุว่า นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ไม่มีแผนจะหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิของญี่ปุ่น ในระหว่างการประชุมสุดยอด G20 ที่จะจัดขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ ในสัปดาห์นี้ โดยให้เหตุผลว่าคำแถลงของทางการญี่ปุ่น เกี่ยวกับประเด็นไต้หวัน “ทำลายพื้นฐานทางการเมือง” ของความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี และญี่ปุ่นควรถอนถ้อยแถลงที่ผิดพลาดเหล่านั้น ความตึงเครียดระหว่าง 2 ชาติยักษ์ใหญ่ของเอเชีย ปะทุขึ้นหลังจากซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระบุต่อรัฐสภาเมื่อต้นเดือนว่า หากจีนโจมตีไต้หวัน และเป็นภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของญี่ปุ่น อาจนำไปสู่ปฏิบัติการทางทหารของญี่ปุ่นได้ ซึ่งเป็นการทำลายข้อปฏิบัติเดิมของอดีตรัฐบาล ที่หลีกเลี่ยงการพูดถึงสถานการณ์เช่นนี้เพื่อไม่ให้เป็นการยั่วยุรัฐบาลจีน ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นเร่งดำเนินการเพื่อคลี่คลายปัญหาข้อพิพาท โดยมาซาอากิ คานาอิ (Masaaki Kanai) ผู้อำนวยการสำนักกิจการเอเชียและโอเชียเนีย กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เดินทางถึงกรุงปักกิ่ง เพื่อเข้าพบหลิว จินซง (Liu Jinsong) ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายกิจการเอเชีย กระทรวงต่างประเทศของจีน ซึ่งคาดว่าฝ่ายญี่ปุ่นจะยืนยันว่า นโยบายความมั่นคงนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และขอให้จีนหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่บั่นทอนความสัมพันธ์ ทั้งนี้ ไต้หวันมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อญี่ปุ่น เนื่องจากอยู่ห่างจากเกาะโยนากุนิของญี่ปุ่นเพียงราว 110 กิโลเมตรเท่านั้น และเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญด้านพลังงาน ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังเป็นฐานกำลังทหารสหรัฐฯ นอกประเทศที่ใหญ่ที่สุดด้วย 
รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า ช่องทางสื่อสารกับจีนยังคงเปิดอยู่ พร้อมย้ำว่า ได้ร้องขอให้รัฐบาลจีนดำเนินการที่เหมาะสม โดยเฉพาะหลังจีนประกาศเตือนให้พลเมืองหลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี ทางการจีนย้ำชัดว่านายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง จะไม่พบปะกับนางทาคาอิจิในเวที G20 พร้อมเรียกร้องให้ญี่ปุ่นถอนถ้อยแถลงที่มองว่าเป็นการยั่วยุ ขณะที่ประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อของไต้หวัน กล่าวหาจีนว่าใช้การโจมตีหลายมิติ ต่อญี่ปุ่น พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมโลกจับตาการกระทำของจีน และยังขอให้จีนใช้ความยับยั้งชั่งใจและแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมกับความเป็นประเทศมหาอำนาจ แทนการสร้างความปั่นป่วนต่อเสถียรภาพในภูมิภาค ด้านเคนจิ มิเนมูระ (Kenji Minemura) นักวิเคราะห์จากสถาบัน Canon Institute for Global Studies ระบุว่า จีนรู้ว่านางทาคาอิจิไม่สามารถถอนคำพูดได้ จึงใช้แรงกดดันเพื่อเพิ่มความได้เปรียบทางการเมือง โดยความขัดแย้งครั้งนี้ ยกระดับขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุการณ์หลายอย่าง เช่น ถ้อยคำรุนแรงของกงสุลจีนในโอซาก้าที่ถูกลบในเวลาต่อมา รวมถึงการที่จีนเรียกทูตญี่ปุ่นเข้าพบเพื่อแสดงการประท้วงอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี นอกจากนี้ จีนยังเตือนว่า หากญี่ปุ่นแทรกแซงประเด็นไต้หวันจะพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ โดยตั้งคำถามถึงทิศทางนโยบายความมั่นคงของญี่ปุ่น รวมถึงความคลุมเครือของหลักการไม่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ 3 ประการ ทั้งนี้ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ โนะมูระ รีเสิร์ชเตือนว่า หากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงในสัดส่วนใกล้เคียงกับข้อพิพาทหมู่เกาะเมื่อปี 2012 ที่หดตัวราว 25% อาจฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นลงกว่าครึ่งหนึ่งของอัตราการเติบโตประจำปีได้ แรงกดดันดังกล่าว สะท้อนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยหุ้นกลุ่มเกี่ยวกับการท่องเที่ยวปรับตัวร่วงลง ซึ่งหุ้น Isetan Mitsukoshi ดิ่งลง 11.3% ขณะที่หุ้น Japan Airlines ร่วงลง 3.7% วานนี้ ที่มา Reuters (1) และ (2)

|