ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยชุดข้อตกลงทางการค้าหลายฉบับในวันแรกของการเดินทางเยือนเอเชีย โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมความมั่นคงด้านการเข้าถึงแร่สำคัญ (critical minerals) และขยายตลาดส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ก่อนการประชุมครั้งสำคัญกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน พร้อมลงนามข้อตกลงการค้าและแร่สำคัญ (critical minerals) หลายฉบับกับ 4 ชาติในอาเซียน ซึ่งรวมถึงประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความไม่สมดุลทางการค้าและกระจายห่วงโซ่อุปทาน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวระหว่างการประชุมสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ว่า “เนื้อหาที่ผมอยากส่งถึงชาติสมาชิกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือ สหรัฐฯอยู่เคียงข้างพวกคุณ 100% และเรามุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรและมิตรที่เข้มแข็งต่อไปอีกหลายชั่วอายุคน” ซึ่งส่วนหนึ่งของข้อตกลงดังกล่าว สหรัฐฯ เสนอการยกเว้นอัตราภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) สำหรับสินค้าส่งออกหลักจากประเทศไทย กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย เพื่อสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ทำเนียบขาวคาดว่า ข้อตกลงกรอบการค้าเหล่านี้ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จะช่วยเสริมอำนาจการต่อรองของประธานาธิบดีทรัมป์ ก่อนการประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เกาหลีใต้ โดยก่อนหน้าการประชุม จีนได้ระงับการนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ และประกาศมาตรการจำกัดการส่งออกแร่สำคัญเพิ่มเติม ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้ประธานาธิบดีทรัมป์และก่อความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี รายละเอียดของข้อตกลงหลายฉบับยังมีเพียงเล็กน้อย ทำให้ยากต่อการประเมินผลกระทบที่แท้จริง แม้ประเทศคู่ค้าจะตกลงลดภาษีและอุปสรรคต่อสินค้าสหรัฐฯ แต่ยังต้องเจรจาต่อเนื่องเรื่องสิทธิประโยชน์ตอบแทน และว่าสินค้าในอุตสาหกรรมหลัก เช่น เครื่องนุ่งห่มและอิเล็กทรอนิกส์ จะได้รับการยกเว้นหรือไม่ โดยปัจจุบัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นแหล่งสินค้าส่งออกมายังสหรัฐฯ ที่ใหญ่กว่าจีน สะท้อนความสำคัญของข้อตกลงที่ลงนามในครั้งนี้ โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในฐานะผู้ส่งออกหลักไปยังสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ประกาศลงนามข้อตกลงการค้าและแร่สำคัญ (critical minerals) หลายฉบับกับ 4 ชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความไม่สมดุลทางการค้าและกระจายห่วงโซ่อุปทาน ท่ามกลางมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากที่เข้มงวดขึ้นจากจีน ตามแถลงการณ์ร่วมจากทำเนียบขาวระบุว่า สหรัฐฯ จะคงอัตราภาษีนำเข้าที่ 19% สำหรับสินค้าส่งออกจากไทย กัมพูชาและมาเลเซีย แต่จะมีการลดภาษีเป็นศูนย์สำหรับสินค้าบางประเภทที่กำหนดไว้ในภายหลัง ขณะเดียวกันยังได้ประกาศกรอบข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันถูกเก็บภาษีส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่ 20% โดยเวียดนาม ซึ่งมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 1.23 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อลดช่องว่างทางการค้า 
พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือกับไทยและมาเลเซีย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกับจีนในอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็วนี้ โดยจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตและผู้แปรรูปแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้เพิ่มข้อจำกัดด้านการส่งออกเทคโนโลยีการกลั่นแร่ ทำให้ผู้ผลิตทั่วโลกต้องเร่งหาทางจัดหาวัตถุดิบทดแทนสำหรับการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางทหาร รัฐบาลมาเลเซียได้ตกลงว่า จะไม่ห้ามหรือจำกัดโควตาการส่งออกแร่สำคัญหรือแร่หายากไปยังสหรัฐฯ แม้ถ้อยแถลงจะไม่ได้ระบุชัดว่าข้อตกลงดังกล่าวครอบคลุมถึงแร่ดิบหรือแร่ที่ผ่านการแปรรูปแล้วก็ตาม โดยมาเลเซีย มีปริมาณสำรองแร่หายากประมาณ 16.1 ล้านตัน ได้สั่งห้ามการส่งออกแร่หายากดิบในปัจจุบัน เพื่อป้องกันการสูญเสียทรัพยากรและส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำภายในประเทศ ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ไทย กัมพูชา เวียดนามและมาเลเซีย จะดำเนินการขจัดอุปสรรคทางการค้า และเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี รวมถึงขยายความร่วมมือในด้านการค้าแบบดิจิทัล การบริการ และการลงทุน พร้อมให้คำมั่นในการคุ้มครองสิทธิแรงงานและสิ่งแวดล้อม ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม ยังตกลงที่จะยอมรับมาตรฐานความปลอดภัยและการปล่อยไอเสียของยานยนต์ตามมาตรฐานสหรัฐฯ ขณะที่มาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศมุสลิมส่วนใหญ่และเป็นผู้นำระดับโลกด้านการรับรองฮาลาล จะปรับขั้นตอนให้สินค้าสหรัฐฯ เช่น เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ยา เข้าถึงกระบวนการรับรองได้ง่ายขึ้น ที่มา Bloomberg และ Reuters

|