ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนบวกในวันพุธ (26 พ.ย.) ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว เนื่องในเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า โดยดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 314.67 จุด หลังได้แรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยีและความเป็นไปได้ที่เพิ่มขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,427.12 จุด เพิ่มขึ้น 314.67 จุด หรือ 0.67% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,812.61 จุด เพิ่มขึ้น 46.73 จุด หรือ 0.69% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,214.69 จุด เพิ่มขึ้น 189.10 จุด หรือ 0.82% ทั้ง 3 ดัชนีหลักของตลาดหุ้น ปิดในแดนบวกเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน หลังนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลต่อมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่ปรับขึ้นแรงจนแตะระดับสูงเกินพื้นฐานเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยความกังวลดังกล่าวเริ่มบรรเทาลง หลัง Nvidia เผยผลประกอบการไตรมาสล่าสุดที่แข็งแกร่ง พร้อมแนวโน้มไตรมาสถัดไปที่สดใส รวมถึงการส่งสัญญาณรายได้ไตรมาส 4 ที่แข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ของ Dell Technologies ซึ่งเป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์สำหรับงานปัญญาประดิษฐ์ (AI) ชัค คาร์ลสัน ซีอีโอ Horizon Investment Services ระบุว่า การซื้อขายในช่วงวันพุธและวันศุกร์ครึ่งวันมักซบเซาตามฤดูกาล แต่บรรยากาศการซื้อขายเป็นไปในเชิงบวก เนื่องมาจากแรงซื้อของนักลงทุนรายย่อย ขณะเดียวกันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นักลงทุนปรับเพิ่มคาดการณ์มากขึ้น เกี่ยวกับมุมมองว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาดสำคัญที่สุดในระยะนี้ ผลสำรวจของรอยเตอร์เปิดเผยว่า นักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี S&P 500 จะปรับขึ้นอีกราว 12% ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงสิ้นปี 2026 โดยได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง ภาคเทคโนโลยีที่เติบโตต่อเนื่อง และนโยบายทางการเงินของเฟดที่ผ่อนคลายมากขึ้น โดยปัจจุบันตลาดการเงินกำลังให้น้ำหนักสูงมากว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. โดยเครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่ามีโอกาสสูงถึง 84.9% ด้านหุ้นสายการบิน ปรับตัวขึ้นแรงในวันที่ถือเป็นช่วงเดินทางที่คึกคักที่สุดของปี โดยดัชนี S&P 1500 Airlines พุ่ง 3.0% สะท้อนมุมมองว่าการเดินทางทางอากาศที่ฟื้นตัวดีเป็นสัญญาณบวกของกำลังซื้อผู้บริโภค ก่อนเข้าสู่ฤดูกาลช็อปปิ้งสำคัญ เริ่มจากวันขอบคุณพระเจ้า, เทศกาล Black Friday และ Cyber Monday ซึ่งมีความสำคัญต่อผู้ค้าปลีกสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันต้องรับมือกับแรงกดดันด้านภาษีนำเข้าและต้นทุนแรงงาน อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มค้าปลีกคาดว่ายอดขายช่วงเทศกาลซื้อของปลายปี 2025 จะทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก แต่คาดการณ์แนวโน้มของ Walmart และ Target ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน และสะท้อนความระมัดระวังในกลุ่มผู้บริโภคบางส่วน 
ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด บ่งชี้ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐานเดือนก.ย. ปรับตัวสูงกว่าคาด แม้ข้อมูลจะเผยแพร่ล่าช้าจากปัญหาการปิดหน่วยงานรัฐบาล แต่ก็ถือเป็นการบ่งชี้ว่า การใช้จ่ายลงทุนของภาคธุรกิจยังแข็งแกร่งกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ประเมินไว้ สำนักงานสถิติ กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า คำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมถึงสินค้ากลุ่มป้องกันประเทศ และไม่รวมเครื่องบิน ซึ่งถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดสำหรับการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ พุ่งขึ้น 0.9% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนส.ส.ค. ตามการปรับทวนข้อมูล ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ต่ำกว่าคาด แต่จำนวนผู้รับสิทธิอย่างต่อเนื่องกลับเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับผลสำรวจที่บ่งชี้ว่า ผู้บริโภคเริ่มประเมินสถานการณ์ตลาดแรงงานในเชิงลบมากขึ้น ทั้งนี้ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเบื้องต้นลดลง 6,000 ราย สู่ระดับ 216,000 ราย หลังปรับตามฤดูกาลแล้ว ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 พ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นโดยรอยเตอร์สคาดการณ์ว่าจะมีผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรวม 225,000 รายในช่วงดังกล่าว ด้านความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัว พบว่าหุ้น Dell Technologies ปิดพุ่งขึ้น 5.8% หลังคาดการณ์รายได้สดใสกว่าคาดการณ์ ขณะที่หุ้น Workday ร่วง 7.9% หลังรายได้จากยอดสมัครใช้งานสอดคล้องกับคาดการณ์ ซึ่งสะท้อนถึงดีมานด์ที่แผ่วลง ส่วนหุ้น Deere ผู้ผลิตเครื่องจักรการเกษตร ร่วงไป 5.7% เนื่องจากปรับลดคาดการณ์กำไรประจำปี จากผลกระทบของภาษีศุลกากรที่กระทบต่อต้นทุนและความต้องการซื้อเครื่องจักร ขณะที่หุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P 500 พบว่าหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ปิดเพิ่มขึ้นมากที่สุด ส่วนหุ้นกลุ่มคมนาคมสื่อสารปรับตัวลดลงมากที่สุด ที่มา Reuters 
|