GPSC เผย Q3/68 กำไร 1,742 ลบ. เพิ่มขึ้น 126% มีกำไรจากการขายหุ้น Avaada Energy (AEPL) รายได้โรงไฟฟ้าในประเทศโตต่อเนื่อง - ต้นทุนการเงินลดลงหลังชำระคืนหนี้บางส่วน - ขาดทุนค่าเงินลดลง หนุนงวด 9 เดือน กำไร 4,901 ลบ.เพิ่มขึ้น 60% บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC สรุปผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 68 ในไตรมาส 3 ปี 68 มีกำไรสุทธิ 1,742 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 972 ล้านบาท หรือ 126% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากรายได้อื่นและกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนงวด 9 เดือน ปี 68 มีกำไรสุทธิ 4,901.16 ล้านบาท เทียบงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,062.61 ล้านบาท 
รายได้และค่าใช้จ่ายอื่น อยู่ที่ 1,076 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 756 ล้านบาท หรือ 236% จากการรับรู้กำไรจากการขายหุ้นร้อยละ 3.03 ในบริษัท Avaada Energy Private Limited (AEPL) คิดเป็นมูลค่า 788 ล้านบาท ขณะที่กำไรขั้นต้น อยู่ที่ 5,717 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 489 ล้านบาท หรือ 9% จากปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจาก Contribution Margin ที่สูงขึ้น เนื่องจาก โรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน (GHECO-One) มี Energy Margin ดีขึ้น จากราคาถ่านหินเฉลี่ยในสต็อกใกล้เคียงกับรายได้ที่เรียกเก็บจาก กฟผ. ประกอบกับการบริหารปริมาณถ่านหินคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ โรงไฟฟ้าโกลว์ ไอพีพี เดินเครื่องได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ไตรมาส 3/68 เดินเครื่อง 23 วัน จาก 1 วันในไตรมาส 3/67) โรงไฟฟ้าห้วยเหาะ มีรายได้เพิ่มขึ้นตามคำสั่งรับซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. ส่วนโรงไฟฟ้าศรีราชา มีรายได้จากค่าความพร้อมจ่ายลดลง หลังจ่ายไฟฟ้าครบตามชั่วโมงที่ระบุในสัญญา โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มีต้นทุนเชื้อเพลิงลดลงมากกว่าราคาขายไฟฟ้าที่ลดลงจากค่า Ft ที่ปรับลด ขณะที่ความต้องการไฟฟ้าและไอน้ำของลูกค้าภาคอุตสาหกรรมลดลงเล็กน้อย นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายคงที่ของโรงไฟฟ้า SPP ยังลดลงจากค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงและเบี้ยประกันภัยที่ลดลง ซึ่งเป็นผลจากการบริหารความเสี่ยงและมาตรการความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่มีเหตุการณ์กระทบการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา และส่งผลให้เบี้ยประกันภัยของโรงไฟฟ้าลดลงในปี 2568 ด้านต้นทุนทางการเงิน อยู่ที่ 1,240 ล้านบาท ลดลง 235 ล้านบาท หรือ 16% จากการชำระคืนเงินกู้บางส่วนและอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ลดลง บริษัทมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 9 ล้านบาท ลดลงอย่างมากจากขาดทุน 256 ล้านบาท ในปีก่อน เนื่องจากมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจริงจากการขายหุ้น AEPL แม้ค่าเงินดอลลาร์ไต้หวันใหม่อ่อนค่าจะทำให้เกิดขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการปรับมูลค่าเงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐของบริษัทในเครือที่ลงทุนในโครงการ CFXD เงินปันผลรับและส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมและการร่วมค้า อยู่ที่ 363 ล้านบาท ลดลง 407 ล้านบาท หรือ 92% โดยมีสาเหตุจาก โครงการ CFXD รับรู้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง จากค่าเงินดอลลาร์ไต้หวันใหม่ที่อ่อนค่า โครงการ AEPL มีกำไรลดลงจากปริมาณแสงแดดที่น้อยลงและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ โรงไฟฟ้าไซยะบุรี (XPCL) มีผลประกอบการดีขึ้นจากปริมาณน้ำที่มากขึ้นจากจีนและอิทธิพลของลานีญา หลังปีก่อนหยุดเดินเครื่องถึง 17 วัน โครงการ NL1PC รับรู้กำไรทางบัญชีจากการปรับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในเดือนกันยายน 2568 ในงวด 9 เดือนแรกปี 68 มีกำไรสุทธิ 4,901 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,838 ล้านบาท หรือ 60% จากปีก่อน โดยมีรายได้และค่าใช้จ่ายอื่นรวม 1,611 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% จากการขายหุ้น AEPL และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ต้นทุนทางการเงินลดลง 567 ล้านบาท หรือ 13% จากการชำระคืนหนี้บางส่วนและอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ต่ำลง รวมถึงรับรู้กำไรอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 235 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ไต้หวันใหม่ เงินปันผลรับและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและการร่วมค้าอยู่ที่ 346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 326 ล้านบาท โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าไซยะบุรี (XPCL) ที่ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นจากน้ำเหนือและอิทธิพลลานีญา ขณะที่ AEPL มีผลประกอบการดีขึ้นจากโครงการใหม่ที่ทยอยเปิดเชิงพาณิชย์ และโครงการ CFXD รับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและรายได้จากการขายไฟเพิ่มขึ้น ด้าน TSR มีผลประกอบการลดลงหลังสิ้นสุดสิทธิประโยชน์ Adder และบริษัทได้ขายหุ้นดังกล่าวในเดือนมิถุนายน 2568 ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 7,035 ล้านบาท ลดลง 4% จากปีก่อน ตามอายุสัญญาของสินทรัพย์จากการเข้าซื้อ GLOW ขณะที่ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นเป็น 397 ล้านบาท จากการขายหุ้น AEPL และการปรับปรุงรายการภาษีในปีก่อน กำไรขั้นต้นงวด 9 เดือนอยู่ที่ 16,089 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 53 ล้านบาท จากการลดลงของค่าความพร้อมจ่ายโรงไฟฟ้าศรีราชา และสัญญาขายไฟของบางโครงการ SPP ที่สิ้นสุดลง 
|