ศาลฎีกาสหรัฐฯ ไต่สวนพิจารณาคดีภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันพุธ (5พ.ย.)ท่ามกลางการตั้งข้อสงสัยถึงความชอบธรรมของมาตรการดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลต่อวาระการดำเนินงานด้านนโยบายเศรษฐกิจของผู้นำสหรัฐฯ การไต่สวนดังกล่าวสืบเนื่องจากการยื่นฟ้องโดยกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและกลุ่มรัฐเดโมแครต 12 รัฐ เพื่อขอให้ศาลชั้นต้นระงับมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าที่ประกาศเมื่อต้นเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ประธานาธิบดีใช้อำนาจเกินขอบเขตในการเก็บค่าธรรมเนียมนำเข้าดังกล่าว ซึ่งในทางปฏิบัติถือเป็นภาษีชนิดหนึ่ง คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาชุดปัจจุบัน ซึ่งมี 9 คน ในจำนวนนี้ เป็นสายอนุรักษ์นิยม 6 คน และ 3 คนในนี้ ทรัมป์เป็นคนแต่งตั้ง ซึ่งส่วนใหญ่แสดงความสงสัยต่อเหตุผลที่ทำเนียบขาวนำมาอ้างเพื่อสนับสนุนการเก็บภาษีนำเข้า ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่ามีความจำเป็น เพื่อฟื้นฟูภาคการผลิตของประเทศและแก้ปัญหาดุลการค้าของประเทศ ทนายความของกลุ่มรัฐและภาคธุรกิจที่ยื่นฟ้อง ระบุว่า กฎหมาย IEEPA ไม่ได้กล่าวถึงคำว่า ภาษีศุลกากรเลย และโต้แย้งว่า สภาคองเกรสไม่มีความตั้งใจที่จะให้อำนาจแบบเปิดกว้างแก่ประธานาธิบดีเพื่อยกเลิกหรือทำลายข้อตกลงทางการค้าและกฎระเบียบด้านภาษีที่มีอยู่ เอมี โคนีย์ บาร์เร็ตต์ (Amy Coney Barrett) ผู้พิพากษาศาลซึ่งทรัมป์เป็นคนแต่งตั้ง ตั้งคำถามในระหว่างการไต่สวนว่า “คุณเชื่อจริง ๆ ใช่ไหมว่า ทุกประเทศจำเป็นต้องถูกเก็บภาษีเนื่องจากเป็นภัยคุกคามต่อการป้องกันและอุตสาหกรรมของประเทศ อย่าง สเปน ฝรั่งเศส? บางประเทศก็เข้าใจได้ แต่อธิบายได้ไหมว่า เพราะอะไรหลายประเทศต้องถูกเก็บภาษีต่างตอบแทนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ทางด้าน จอห์น ซาวเออร์ (John Sauer) ทนายความสูงสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ (Solicitor General) เตือนว่า หากอำนาจภาษีของทรัมป์ถูกตัดสินว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะทำให้สหรัฐฯ เสี่ยงต่อการตอบโต้ทางการค้าอย่างร้ายกาจ และนำไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติที่เลวร้าย ฝั่งจอห์น โรเบิร์ตส์ หัวหน้าผู้พิพากษา กล่าวว่า การหยิบยกเหตุผลต่าง ๆ ถูกนำมาใช้เพื่อให้อำนาจในการกำหนดภาษีสินค้าต่างกับประเทศต่าง ๆ ในปริมาณเท่าใด และเป็นระยะเวลานานเท่าใดก็ได้ 
ขณะที่ นีล กอร์ซุช (Neil Gorsuch) ผู้พิพากษาสายอนุรักษ์นิยมอีกคนหนึ่ง ตั้งข้อสงสัยว่า หากศาลตัดสินเข้าข้างทรัมป์ในคดีนี้ อะไรกันที่ทำให้สภาคองเกรสละเลยหน้าที่ความรับผิดชอบในการควบคุมการค้าระหว่างประเทศ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์แย้งว่า อำนาจในการคุมอำนาจ ครอบคลุมอำนาจในการบังคับใช้ภาษี และประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตที่ไม่เหมือนครั้งไหน ซึ่งเป็นวิกฤตที่ทำลายประเทศและไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ จึงจำเป็นต้องมีการดำเนินการฉุกเฉินโดยประธานาธิบดี ทางด้านทำเนียบขาวได้ส่งสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, ฮาวเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ เจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี และระบุว่า จะหันไปใช้ภาษีอื่น ๆ หากศาลไม่ตัดสินสนับสนุน ซึ่งแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า ทำเนียบขาวเตรียมแผนสำรองเสมอ โดยปกติแล้ว การตัดสินคดีใหญ่ ๆ ศาลฎีกามักใช้เวลาหลายเดือน แต่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า คดีนี้ศาลจะเร่งดำเนินการเร็วขึ้น และจะเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ครั้งแรกต่อความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ในการขยายอำนาจของประธานาธิบดี หากรัฐบาลทรัมป์แพ้คดี รัฐบาลอาจต้องคืนเงินบางส่วนที่จัดเก็บภาษีไปแล้ว ซึ่งจะสร้างความยุ่งยากโดยแท้ ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากการประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีศุลกากร ภายใต้กฎหมาย IEEPA (International Emergency Economic Powers Act) ปี 1977 ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีในการควบคุมการค้าเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งทรัมป์พูดถึงกฎหมายนี้เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนก.พ. เพื่อเก็บภาษีนำเข้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา โดยกล่าวว่า มีการลักลอบค้ายาเสพติดจากประเทศเหล่านั้น ซึ่งถือป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ต่อมาในเดือนเม.ย. มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตั้งแต่ 10-50% สำหรับสินค้าจากเกือบทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งครั้งนี้ อ้างว่าเพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ไม่ปกติ ภายใต้รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ สภาคองเกรสมีอำนาจในการกำหนดและเก็บภาษี ไม่ใช่ประธานาธิบดี และศาลได้ขีดเส้นไว้แล้วว่า อำนาจที่มอบให้นั้นอยู่ในขอบเขตมากน้อยเพียงใด ที่มา BBC 
|