DELTA ประกาศงบไตรมาส 3/68 ทำกำไรสุทธิ 7,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ รับดีมาน์ดระบบกำลังไฟสำหรับเซิร์ฟเวอร์ เน็ทเวอร์คกิ้ง และดาต้าเซ็นเตอร์ เติบโตแข็งแกร่ง ควบคู่การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง ทำให้ตีกลับการตั้งสำรองจำนวนมาก หนุน 9 เดือนกำไรสุทธิเติบโตอยู่ที่ที่ 17,558 ล้านบาท บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 7,441.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 60.8% และ เพิ่มขึ้น 25.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,910.89 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 14.0% และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.60 บาท เทียบกับ 0.47 บาทต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลงวด 9 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 17,558.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 16,783.43 ล้านบาท 
สำหรับไตรมาสนี้ มียอดขายสินค้าและบริการอยู่ที่ 53,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.1% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 19.6% จากไตรมาสที่แล้ว ถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นจากการขับเคลื่อนโดยกลุ่มธุรกิจเพาเวอร์ อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน และกลุ่มโซลูชั่นระบบอัตโนมัติ โดยสินค้าหลักระบบกำลังไฟสำหรับเซิร์ฟเวอร์ เน็ทเวอร์คกิ้ง และดาต้าเซ็นเตอร์ (Server and Networking Power, Datacenter Power) ถือเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์สำคัญที่เติบโต แข็งแกร่งตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงไตรมาสปัจจุบัน สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ที่ขับเคลื่อนโดยปัญญาประดิษฐ์อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการของตลาดมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน คือการเพิ่มกำลังไฟ และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อรองรับการประมวลผลของ AI บริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมากจากดีมานด์ที่เร่งตัวขึ้น ขณะเดียวกัน กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานทั้งในส่วนโครงงานดาต้าเซ็นเตอร์ โซลูชั่นพลังงานโทรคมนาคม โซลูชั่นเครือข่าย และโซลูชั่นระบบ ระบายความร้อนงานสารสนเทศ รวมถึงโซลูชั่นระบบอัตโนมัติภาคอุตสาหกรรมและอาคารอัจฉริยะล้วนมีการเติบโตที่ดี อย่างไรก็ตาม กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบกำลังไฟสำหรับยานยนต์ไฟฟ้ายังเผชิญกับความท้าทายของสภาวะอุปสงค์อ่อนตัว ส่งผลให้ยอดขายปรับตัวลดลง ท่ามกลางความผันผวนของอุตสาหกรรม EV ทั้งในตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกา ภาพรวมธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยี ยังคงมีปัจจัยเฝ้าระวังที่เกิดจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเงื่อนไขการค้า ที่ไม่แน่นอน ท าให้บริษัทฯ มุ่งมั่นกลยุทธ์การขยายฐานการผลิตและบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานตามแนวทางความยั่งยืน เพื่อรักษาเสถียรภาพในการประกอบธุรกิจ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในสภาวการณ์ที่ท้าทายของอุตสาหกรรม กำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ มีจำนวน 15,085 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 26.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นถึง 35.8% จากไตรมาสที่แล้ว ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 28.3% สูงขึ้นจากไตรมาสที่แล้วและช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว สืบเนื่องจากการเติบโตของยอดขายในกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรดี ควบคู่กับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง ทำให้สามารถกลับรายการตั้งสำรองมูลค่าสินค้าคงคลังได้ปริมาณมาก นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการบันทึกรายรับอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ เงินชดเชยจาก การผิดสัญญาทางการค้า และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ร่วมกับการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ และ ภาษีส่วนเพิ่มตามกฎ OECD ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (รวมการวิจัยและพัฒนา) มีจำนวน 7,580 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 27.7% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 26.1% จากไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากค่าสิทธิจ่ายเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับการผลิตและแนวโน้มการขายสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีจากสิทธิบัตรของบริษัทแม่ในไต้หวัน นอกจากนี้ บริษัทฯ บันทึกค่าใช้จ่ายด้านการขายในส่วนภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นเพราะตลาดสหรัฐเริ่มประกาศใช้นโยบายภาษีตอบโต้แบบเท่าเทียมในไตรมาสนี้ 
|