*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 59.91 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 18 เซนต์ หรือ 0.3% สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ปิดที่ 64.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 19 เซนต์ หรือราว 0.3% ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเล็กน้อยในวันจันทร์ หลังการบรรทุกน้ำมันที่ท่าเรือส่งออกโนโวรอสซีสค์ (Novorossiysk) ของรัสเซีย กลับมาเดินหน้าต่อได้อีกครั้ง หลังถูกระงับไป 2 วัน จากเหตุโจมตีของยูเครนในทะเลดำ *** Bernstein ระบุว่า บริษัทน้ำมันรายใหญ่ของยุโรป ยังสามารถมอบอัตราผลตอบแทนรวมแก่ผู้ถือหุ้น ในระดับเลข 2 หลักได้ในปีหน้า แม้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ อยู่ที่ราว 65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยให้เหตุผลว่า ความแข็งแกร่งของกระแสเงินสดยังทรงตัวได้ดีกว่ากำไรในปี 2025 นักวิเคราะห์ของ Bernstein ระบุว่า แม้ราคาน้ำมันจะปรับลดลง 14.4% และส่วนต่างกำไรของธุรกิจปิโตรเคมีอ่อนแอลง แต่บริษัทน้ำมันยังคงรักษาวินัยด้านเงินลงทุน และสร้างกระแสเงินสดอิสระได้ แทบไม่เปลี่ยนแปลง *** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนเดินทางภายในประเทศก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อผลักดันวาระด้านเศรษฐกิจและเน้นย้ำความพยายามในการลดค่าครองชีพของประชาชน พร้อมอาจประกาศมาตรการใหม่ เพื่อควบคุมต้นทุนด้านสาธารณสุข โดยคาดว่าทรัมป์ จะเพิ่มความถี่ในการเดินทางภายในประเทศตั้งแต่ต้นปี 2026 เพื่อเร่งผลักดันนโยบายต่อสู้กับเงินเฟ้อและราคาสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความไม่พอใจให้ชาวอเมริกันและกดดันคะแนนนิยมของเขา ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา *** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันจากประชาชนที่กังวลเรื่องเงินเฟ้อ เตรียมพบเจ้าของ ผู้ดำเนินกิจการและซัพพลายเออร์ของเครือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด McDonald’s เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการกดต้นทุนค่าครองชีพ โดยระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งปี 2024 ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะลดค่าครองชีพของชาวอเมริกัน และยังยืนยันว่า มาตรการลดภาษีและการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศของรัฐบาล จะช่วยเพิ่มรายได้จริงของประชาชนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แม้ล่าสุดจะยอมรับว่า ผลของนโยบายดังกล่าวอาจต้องใช้เวลา *** คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยว่า บริษัทสหรัฐฯ เริ่มหารือเกี่ยวกับการปลดพนักงานบ่อยขึ้น ขณะที่เตรียมรับมือกับอุปสงค์ที่อ่อนตัวลงและผลผลิตที่จะเพิ่มขึ้นจากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขายกขึ้นสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป ท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างภายในเฟดเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงิน วอลเลอร์เรียกร้องให้เฟด ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงในตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น และอนุมัติการลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมวันที่ 9–10 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ *** อินเดียระบุว่า ใกล้บรรลุข้อตกลงการค้าระยะแรกกับสหรัฐฯ ซึ่งครอบคลุมประเด็นภาษีนำเข้า หลังเจรจามานานหลายเดือนเพื่อปรับลดอัตราภาษี 50% ที่ถูกบังคับใช้ในปัจจุบัน โดยเลขาธิการกระทรวงพาณิชย์ของอินเดีย เปิดเผยว่า ทั้ง 2 ฝ่ายกำลังจัดทำข้อตกลงที่จะดำเนินการเป็นหลายช่วง โดยในระยะแรกจะมุ่งเน้นการลดภาษีนำเข้าตอบโต้ระหว่างกัน “อินเดียมีการพูดคุยกับทีมการค้าของสหรัฐฯ เป็นประจำ” พร้อมย้ำว่าข้อตกลงระยะแรก ซึ่งให้ความสำคัญกับการลดภาษีตอบโต้นั้น “อยู่ในขั้นตอนใกล้ปิดดีลแล้ว” *** นายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิของญี่ปุ่น กำลังเผชิญบททดสอบด้านการทูตครั้งสำคัญ ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือนหลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศ หลังสร้างความไม่พอใจให้จีน ด้วยถ้อยแถลงเกี่ยวกับจุดยืนของญี่ปุ่นต่อประเด็นการประกาศจุดยืนที่แข็งกร้าวของจีนว่า ไต้หวันเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและยอมรับไม่ได้อย่างยิ่ง โดยทาคาอิจิกลายเป็นผู้นำญี่ปุ่นคนแรกในรอบหลายทศวรรษ ที่เชื่อมโยงสถานการณ์วิกฤตช่องแคบไต้หวัน เข้ากับความเป็นไปได้ที่ญี่ปุ่นอาจส่งทหารเข้าปฏิบัติการ ซึ่งนำไปสู่การตอบโต้จากจีน ในรูปแบบมาตรการเศรษฐกิจและคำขู่ลงโทษเพิ่มเติม *** ทางการญี่ปุ่นเร่งปรับลดความขัดแย้งกรณีข้อพิพาทกับจีนเกี่ยวกับประเด็นไต้หวัน หลังคำแถลงของรัฐบาลญี่ปุ่น ทำให้รัฐบาลจีนออกมาเรียกร้องให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่น โดยความขัดแย้งปะทุขึ้น หลังนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ บอกต่อสมาชิกรัฐสภาว่า หากจีนโจมตีไต้หวันในลักษณะที่คุกคามการอยู่รอดของญี่ปุ่น ก็อาจนำไปสู่การตอบโต้ทางทหารได้ คำกล่าวดังกล่าว ถือเป็นการเบี่ยงจากแนวทางของรัฐบาลญี่ปุ่นชุดก่อน ๆ ที่หลีกเลี่ยงการพูดถึงสถานการณ์ดังกล่าว ในที่สาธารณะ เพื่อไม่ให้เป็นการยั่วยุจีน ซึ่งอ้างสิทธิ์เหนือไต้หวัน *** กระทรวงการต่างประเทศจีน ระบุว่า นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ไม่มีแผนจะหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซานาเอะ ทาคาอิจิ ระหว่างการประชุมสุดยอด G20 ที่จะจัดขึ้นในแอฟริกาใต้ ท่ามกลางความตึงเครียดที่ทวีขึ้นเกี่ยวกับประเด็นไต้หวัน โดยเหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวว่า คำกล่าวของผู้นำญี่ปุ่นเกี่ยวกับไต้หวัน “สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อรากฐานทางการเมืองของความสัมพันธ์จีน–ญี่ปุ่น” พร้อมเรียกร้องให้ญี่ปุ่น ถอนถ้อยแถลงที่ไม่ถูกต้องดังกล่าว *** เหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน และลาร์ส คลิงไบล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเยอรมนี เห็นพ้องร่วมกันว่า จีนและเยอรมนีควรเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและยุติความตึงเครียดที่ยืดเยื้อหลายเดือนระหว่าง 2 ชาติเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 และ 3 ของโลก โดยคลิงไบล์เดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง ซึ่งถือเป็นการเยือนจีนครั้งแรกของรัฐมนตรี ภายใต้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฟรีดริช เมิร์ซ โดยความสัมพันธ์ของ 2 อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ได้รับผลกระทบจากมาตรการจำกัดการส่งออกชิปและแร่หายากของจีน ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับบริษัทเยอรมันจำนวนมาก 
*** กองทุนเฮดจ์ฟันด์ Thiel Macro LLC ของปีเตอร์ ธีล ขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ใน Nvidia ในช่วงไตรมาส 3 ถือเป็นอีกหนึ่งการถอนตัวของผู้จัดการกองทุนรายใหญ่จากหุ้นผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ชั้นนำของโลก โดยกองทุนได้ขายหุ้น Nvidia จำนวน 537,742 หุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากอิงราคาปิด ณ วันที่ 30 ก.ย. ทั้งนี้ Thiel Macro ได้ปรับพอร์ตโฟลิโอให้เหลือการลงทุนหลักในหุ้น Apple, Microsoft และลดสัดส่วนการถือหุ้น Tesla ลง ตามเอกสารแบบ 13F ที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล *** เจนเซน หวง ซีอีโอ Nvidia เปิดเผยเมื่อเดือน ต.ค. ว่า บริษัทมีคำสั่งซื้อชิปมูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการส่งมอบในปี 2025 และ 2026 รวมกัน โดยเป็นชิปที่อยู่แก่นกลางของกระแสปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว สำหรับบริษัทที่รายได้รายไตรมาสพุ่งขึ้นเกือบ 600% ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา คำกล่าวของเจนเซน หวง สะท้อนว่าบริษัทมั่นใจว่าจะยังคงทำสถิติรายได้แข็งแกร่งต่อไปในรอบผลิตภัณฑ์ใหม่ แม้การเติบโตอาจชะลอลงบ้าง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากระแส AI ยังมีระยะเติบโตอีกมาก *** Arm ประกาศว่า หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ที่พัฒนาบนสถาปัตยกรรมของบริษัท จะสามารถทำงานร่วมกับชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของ Nvidia ได้ผ่านเทคโนโลยี NVLink Fusion โดยความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ลูกค้าของทั้ง 2 บริษัท โดยเฉพาะกลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ระดับ hyperscaler ซึ่งนิยมสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบบปรับแต่งเอง สามารถจับคู่ชิป Neoverse CPU ของ Arm เข้ากับชิปกราฟิก (GPU) ซึ่งเป็นแกนหลักของ Nvidia ได้อย่างลื่นไหลมากขึ้น *** Amazon.com Inc. ออกหุ้นกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐมูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ท่ามกลางกระแสบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เร่งออกหุ้นกู้วงเงินสูงเพื่อรองรับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยวงเงินระดมทุนครั้งนี้สูงกว่าที่คาดไว้เดิม 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเงินที่ได้ จะถูกนำไปใช้ตั้งแต่การเข้าซื้อกิจการ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงการซื้อหุ้นคืน *** Novo Nordisk A/S เปิดเกมราคาเพื่อต่อกรกับคู่แข่งอย่าง Eli Lilly & Co. ในตลาดยาลดน้ำหนัก โดยปรับลดราคาสำหรับผู้ป่วยที่จ่ายเอง (cash-pay) แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการแข่งขันเชิงรุกเพื่อทวงคืนส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ โดย Novo Nordisk จะจำหน่ายยาขนาดเริ่มต้นของ Wegovy และ Ozempic ในราคา 199 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งราคาดังกล่าวครอบคลุมการรักษาในช่วง 2 เดือนแรก จากนั้นจะสามารถซื้อผ่านพอร์ทัล NovoCare แบบ direct-to-consumer ได้ที่ 349 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งถูกกว่าราคาปัจจุบันสำหรับผู้จ่ายเองราว 30% *** Chevron บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังพิจารณาทางเลือกในการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศของ Lukoil บริษัทน้ำมันรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตร โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เพิ่งอนุมัติให้ผู้ซื้อที่สนใจสามารถเริ่มเจรจากับ Lukoil เกี่ยวกับสินทรัพย์ในต่างประเทศได้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หาก Chevron เข้าร่วม จะเป็นหนึ่งในผู้แข่งขันเคียงข้าง Carlyle และบริษัทอื่น ๆ เพื่อแย่งซื้อพอร์ตสินทรัพย์ของ Lukoil ซึ่งมีมูลค่าอย่างน้อย 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ *** XPeng ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน คาดการณ์รายได้ไตรมาส 4 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ เนื่องจากสงครามราคาที่ยืดเยื้อและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกเริ่มฉุดรั้งการเติบโตของบริษัท โดยหุ้น XPeng ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ซึ่งปรับตัวขึ้นมากกว่าเท่าตัวตั้งแต่ต้นปี ร่วงเกือบ 8% ในช่วงการซื้อขายภาคเช้า แม้ XPeng และคู่แข่งอย่าง NIO มียอดส่งมอบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือน ต.ค. ขณะที่ยอดขายของ Tesla ในจีนร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี แต่แนวโน้มที่แตกต่างกันของผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 3 ราย สะท้อนผลกระทบที่ไม่เท่ากันของสงครามราคาอันดุเดือด ซึ่งกัดกินความสามารถทำกำไรของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีน โดย XPeng คาดว่ารายได้ไตรมาส 4 จะอยู่ระหว่าง 21,500 ล้านหยวน (3,030 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ถึง 23,000 ล้านหยวน ต่ำกว่าคาดที่ 26,000 ล้านหยวน *** BYD ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของจีน มีแผนขยายเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายในยุโรปเพิ่มเป็น 2 เท่าภายในสิ้นปีหน้า โดยกรรมการผู้จัดการภูมิภาคยุโรปของ BYD กล่าวว่า “ภายในสิ้นปี 2025 เราจะมีจุดจำหน่าย 1,000 แห่งทั่วยุโรป และภายในปีหน้าเราจะเพิ่มจำนวนดังกล่าวเป็น 2 เท่า” พร้อมระบุว่า การเพิ่มความใกล้ชิดกับลูกค้าเป็นกุญแจสำคัญ “ตามแนวทางของคู่แข่งที่ประสบความสำเร็จ เราต้องสร้างความใกล้ชิดและเข้าถึงลูกค้าชาวยุโรปให้ได้มากขึ้น” 
|