สายการบินหลายสายของสหรัฐฯ กำลังเผชิญผลกระทบอย่างหนัก จากภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลกลางที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังการหยุดชะงักของเที่ยวบินหลายหมื่นเที่ยวในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้บั่นทอนความคาดหวังของผู้ประกอบการที่หวังผลประกอบการสดใสในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมพยายามเร่งหาทางลดผลกระทบต่อผู้โดยสารและรายได้ของบริษัท ขณะที่รัฐบาลกลางมีแนวโน้มจะกลับมาเปิดทำการได้ภายในสัปดาห์นี้ ก่อนหน้านี้ สายการบินต่างคาดว่า จะมีกำลังซื้อที่แข็งแกร่งทั้งจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจและนักท่องเที่ยวในไตรมาสนี้ หลังยอดจองตั๋วในช่วงครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากความกังวลทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางการค้า อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของยอดจองเที่ยวบินสำหรับเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ลดลงครึ่งหนึ่ง มาอยู่ที่เพียง 1% นับจากปลายเดือนต.ค. ตามข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์การบิน Cirium ซึ่งสะท้อนความลังเลของนักเดินทางในช่วงที่ภาวะชัตดาวน์ยืดเยื้อ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ลงมติผ่านร่างกฎหมาย เพื่อจัดสรรงบประมาณคืนให้หน่วยงานรัฐบาลเปิดทางให้ชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อนาน 41 วันอาจสิ้นสุดลงในสัปดาห์นี้ โดยสภาผู้แทนราษฎรซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรครีพับลิกันคาดว่าจะพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวในวันพุธนี้ อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเตือนว่า ปัญหาความล่าช้าและการยกเลิกเที่ยวบิน อาจยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง แม้รัฐบาลจะกลับมาเปิดทำการแล้วก็ตาม ข้อมูลจากเว็บไซต์ติดตามเที่ยวบิน FlightAware ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. - 5 พ.ย. มีเที่ยวบินถูกยกเลิกกว่า 4,000 เที่ยว แต่ตัวเลขดังกล่าวพุ่งขึ้นเท่าตัวเป็นกว่า 8,000 เที่ยวภายในเพียง 4 วันหลังสุด ขณะที่สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ได้สั่งลดเที่ยวบินลงที่สนามบินหลักกว่า 40 แห่งทั่วประเทศ 
ความไม่แน่นอนดังกล่าวทำให้ลูกเรือและเครื่องบินจำนวนมาก ติดค้างอยู่ในสนามบินที่ไม่ใช่ต้นทาง ส่งผลให้สายการบินต้องเร่งหาพนักงานและเครื่องบินทดแทน เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าเพิ่มเติม โดยสายการบินรายใหญ่ เช่น Delta Air Lines และ United Airlines ได้เสนอแรงจูงใจให้ลูกเรือทำงานเพิ่ม โดยสายการบิน United Airlines ระบุว่า บริษัทได้เพิ่มอัตราค่าตอบแทนพิเศษสำหรับนักบิน และขยายมาตรการจูงใจไปยังพนักงานต้อนรับในบางฐานการบินด้วย ขณะเดียวกันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางกลับเข้าสู่กรุงวอชิงตันในวันอังคาร (11 พ.ย.) หลังหยุดพักนาน 53 วัน เพื่อเตรียมลงมติในร่างกฎหมายที่จะยุติภาวะชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยการเดินทางกลับยังเกิดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายของระบบขนส่งทางอากาศทั่วประเทศ โดยมีเที่ยวบินถูกยกเลิกเกือบ 1,200 เที่ยวในวันเดียว เนื่องจากผลกระทบจากการปิดทำการของหน่วยงานรัฐ ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศที่ต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง สภาผู้แทนฯ กำหนดลงมติในบ่ายวันพุธตามเวลาท้องถิ่น เกี่ยวกับร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานรัฐบาลและยุติชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 42 แล้ว โดยวุฒิสภา ได้ผ่านร่างกฎหมายนี้ไปแล้วเมื่อค่ำวันจันทร์ ด้านไมก์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนฯ คาดว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอให้ผ่านได้เช่นกัน ซึ่งคาดว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะลงนามให้มีผลบังคับใช้ทันที หลังผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าว จะขยายการจัดสรรงบประมาณชั่วคราวไปจนถึงวันที่ 30 ม.ค. ปีหน้า ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลยังคงเผชิญความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะชัตดาวน์รอบใหม่ได้อีก หากสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงระยะยาว ทั้งยังคงเพิ่มภาระหนี้สาธารณะของประเทศที่สูงถึง 38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อไป ที่มา Reuters (1) และ (2) 
|