
เมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศระงับการเจรจาภาษีการค้ากับประเทศไทยในช่วงปลายปี 2568 เสียงกังวลจากทุกภาคส่วนดังกึกก้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ เกษตรกร หรือแม้แต่หน่วยงานภาครัฐที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงนี้ รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกในรายการ F1 Money ว่า สถานการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพียงการระงับการเจรจา แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ซัพพลายเชน การส่งออก ไปจนถึงการว่างงานที่อาจแตะระดับล้านคน

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจทุกมิติของสถานการณ์ ตั้งแต่สาเหตุการระงับ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ความแตกต่างของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชากับสหรัฐฯ รวมถึงทางออกและกลยุทธ์ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ
สหรัฐฯ ระงับการเจรจาภาษีการค้ากับไทย ผลกระทบและสาเหตุ
การระงับการเจรจาภาษีการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทยเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2568 โดย USTR (United States Trade Representative) ได้ส่งจดหมายมายังกระทรวงการต่างประเทศไทยเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน แจ้งระงับการเจรจา ซึ่งถือเป็นคำว่า “temporary suspension” หรือการระงับชั่วคราว ตามคำอธิบายของรองศาสตราจารย์อัทธ์
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการระงับครั้งนี้มาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปฏิญญาสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์บนเครื่องบิน Air Force One เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ว่าเขาใช้ภาษีเป็นเครื่องมือบีบให้ประเทศต่างๆ เกิดสันติภาพ และเมื่อนักข่าวถามว่าหมายถึงกรณีไทยกับกัมพูชาหรือไม่ ทรัมป์ก็ยืนยัน
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้แถลงเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ว่าประเด็นสันติภาพกับการค้าเป็นเรื่องแยกกัน แต่ฝั่งสหรัฐอเมริกามองว่าทั้งสองเรื่องเชื่อมโยงกัน สร้างความไม่ชัดเจนในการเจรจาครั้งนี้
รศ.ดร.อัทธ์ อธิบายว่า ในถ้อยแถลงด้านภาษีตอบแทนระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ระหว่างการประชุม ASEAN Summit นั้น ประเทศไทยยังอยู่ในระดับ “ถ้อยแถลง” หรือ Joint Declaration ยังไม่ได้ลงนามเป็นข้อตกลงอย่างเป็นทางการ ซึ่งต่างจากกัมพูชาและมาเลเซียที่ลงนาม Agreement ไปแล้ว
ในถ้อยแถลงดังกล่าว สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนแรก สหรัฐฯ จะเก็บภาษีสินค้าไทย 19% (ลดลงจาก 36% เดิม) และไทยตกลงซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 800,000-900,000 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด ถั่วเหลือง LNG และโบอิ้ง ส่วนนี้ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ไม่ถูกระงับ เพราะสหรัฐฯ ได้ประโยชน์โดยตรง
ส่วนที่สอง คือ สิทธิพิเศษให้สินค้าไทยมากกว่า 1,000 รายการเข้าไปสหรัฐฯ ด้วยภาษี 0% ซึ่งต้องเจรจาต่อไป ส่วนนี้คือส่วนที่ถูกระงับ เพราะเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ จะให้สิทธิพิเศษแก่ไทย รองศาสตราจารย์อัทธ์ประเมินว่า สหรัฐฯ จะไม่ปรับภาษีจาก 19% กลับไปเป็น 36% เพราะจะส่งสัญญาณที่ไม่ดีต่อเวทีระหว่างประเทศ และทำให้ประเทศอื่นที่ตกลงไว้แล้ว เช่น ญี่ปุ่น 15% เกาหลีใต้ 15% ยุโรป 15% รู้สึกไม่มั่นคง
ไทยตกลงซื้อสินค้าสหรัฐฯ 800,000-900,000 ล้านบาท
หนึ่งในส่วนสำคัญของการเจรจา คือ ไทยตกลงที่จะซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่าระหว่าง 800,000 ถึง 900,000 ล้านบาท โดยสินค้าหลักประกอบด้วย ข้าวโพด ถั่วเหลือง LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) และเครื่องบินโบอิ้ง รวมถึงเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ที่มีสารเสริมเนื้อแดงตามมาตรฐาน FDA
การตกลงซื้อสินค้าจำนวนมหาศาลนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนทางการค้า เพื่อให้สหรัฐฯ ลดภาษีจาก 36% เหลือ 19% และรองศาสตราจารย์อัทธ์มองว่า ส่วนนี้จะไม่ถูกระงับ เพราะสหรัฐฯ ได้ประโยชน์ชัดเจน
1,000+ รายการสินค้าไทยที่เคยจะได้สิทธิ์ภาษี 0% ถูกระงับการเจรจา
หนึ่งในความหวังของผู้ส่งออกไทย คือ การได้รับสิทธิพิเศษให้สินค้าไทยมากกว่า 1,000 รายการเข้าสหรัฐฯ โดยเสียภาษี 0% ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา แต่เมื่อสหรัฐฯ ประกาศระงับการเจรจา ส่วนนี้จึงถูกระงับไปด้วย
รศ.ดร.อัทธ์ อธิบายว่า สินค้าที่จะได้รับสิทธิ์ภาษี 0% นี้เป็นสินค้าที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม การระงับการเจรจาในส่วนนี้จึงเป็นการตัดโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะขยายตลาดในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันสินค้าไทยยังคงเสียภาษี 19% เมื่อส่งไปสหรัฐฯ และการที่ไม่ได้ภาษี 0% ไม่ได้หมายความว่าภาษีจะเพิ่มขึ้นเป็น 36% เพียงแต่โอกาสที่จะได้ประโยชน์เพิ่มเติมถูกระงับไป
ปฏิญญาสันติภาพไทย-เขมร กับการค้า รวมหรือแยกกัน หนึ่งในประเด็นที่ซับซ้อนที่สุดของการระงับการเจรจาครั้งนี้คือ คำถามว่า “ปฏิญญาสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา” กับ “การค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ” เป็นเรื่องเดียวกันหรือแยกกัน รัฐบาลไทยแถลงเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ว่า ทั้งสองเรื่องแยกกัน แต่ฝั่งสหรัฐฯ มองว่า รวมกัน
รศ.ดร.อัทธ์ ให้ความเห็นว่า จากการกระทำของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทั้งสองเรื่องเชื่อมโยงกัน เพราะหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัมภาษณ์บนเครื่องบิน Air Force One วันที่ 14 พฤศจิกายน เกี่ยวกับการใช้ภาษีบีบให้เกิดสันติภาพในกรณีไทย-กัมพูชา USTR ก็ส่งจดหมายระงับการเจรจาในวันเดียวกันนั้น
ความไม่ชัดเจนนี้สร้างความสับสนให้กับคนไทยและผู้เกี่ยวข้อง เพราะมีสามฝ่าย คือ ไทย มาเลเซีย (ในฐานะประธานอาเซียน) และสหรัฐฯ มองไม่ตรงกัน
ทรัมป์ใช้ภาษีบีบให้เกิดสันติภาพ กรณีไทย-เขมร
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการสัมภาษณ์บนเครื่องบิน Air Force One เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ประมาณ 3 ทุ่ม ว่าเขาจะใช้ภาษีเป็นเครื่องมือบีบให้ประเทศต่างๆ เกิดสันติภาพ และเมื่อนักข่าวถามว่าใช่กรณีไทยกับกัมพูชาหรือไม่ ทรัมป์ก็ตอบรับ
นโยบายนี้สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ของสหรัฐฯ ในการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเข้ามาแทรกแซงประเด็นความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยเฉพาะข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งเกิดจากการที่ทหารไทยขาขาดจากการวางระเบิดของฝ่ายกัมพูชาในเขตชายแดน
นี่คือการใช้ “ภาษี” เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว
ไทยแถลงว่าแยก แต่สหรัฐฯ มองว่ารวม ความขัดแย้งในการตีความ
ความขัดแย้งในการตีความนี้เป็นประเด็นสำคัญที่สร้างความสับสนมาก รัฐบาลไทยยืนยันเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ว่า ปฏิญญาสันติภาพกับการค้าเป็นเรื่องแยกกัน ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นเรื่องเดียวกัน
รศ.ดร.อัทธ์ วิเคราะห์ว่า จากการกระทำของสหรัฐฯ ที่ส่งจดหมายระงับการเจรจาหลังจากทรัมป์ให้สัมภาษณ์เพียงไม่กี่ชั่วโมง แสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ มองว่าทั้งสองเรื่องรวมกัน แม้ไทยจะบอกว่าแยก ประธานอาเซียน (นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวา อิบราฮิม) ก็บอกว่าแยก แต่สหรัฐฯ ก็ยืนกรานว่ารวม
ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำว่า รัฐบาลไทยควรเชิญทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยมาคุยให้ชัดเจน หรือยกระดับให้นายกรัฐมนตรีไทยคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์โดยตรง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน

สหรัฐฯ ให้ความสำคัญเขมรมากกว่าไทย วิเคราะห์เชิงลึก หนึ่งในคำถามที่น่าสนใจ คือ สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับประเทศไหนมากกว่ากันระหว่างไทยกับกัมพูชา สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับกัมพูชามากกว่าไทย และแนบแน่นกับกัมพูชามากกว่าไทยในช่วงเวลานี้
เหตุผลสำคัญ คือ สหรัฐฯ มองว่า ใครให้ประโยชน์ได้มากกว่า ก็จะได้รับความสำคัญมากกว่า ในขณะนี้กัมพูชาให้ประโยชน์แก่สหรัฐฯ ได้มากกว่าไทย ทั้งในด้านการค้า การทหาร และการเมืองระหว่างประเทศ
นี่เป็นข้อคิดสำคัญที่รัฐบาลไทยต้องนำไปประเมินความสัมพันธ์และกลยุทธ์ใหม่
เขมรลงนามข้อตกลงแล้ว ไทยยังเป็นถ้อยแถลง
ความแตกต่างสำคัญระหว่างไทยและกัมพูชา คือ กัมพูชาลงนามข้อตกลงการค้า (Agreement) กับสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว ในการประชุม ASEAN Summit เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ขณะที่ไทยยังอยู่ในระดับ “ถ้อยแถลง” (Joint Declaration) ยังไม่ได้ลงนามอย่างเป็นทางการ
การที่กัมพูชาลงนามข้อตกลงได้เร็วกว่า แสดงให้เห็นว่า กัมพูชาตอบโจทย์และให้ประโยชน์แก่สหรัฐฯ ได้มากกว่า ทำให้สหรัฐฯ เร่งผลักดันการเจรจากับกัมพูชา มาเลเซียก็เช่นกัน ลงนาม Agreement ในวันเดียวกับกัมพูชา ส่วนไทยยังค้างอยู่ในระดับถ้อยแถลง
สหรัฐฯ ปลดล็อก Arms Embargo กับเขมร (7 พฤศจิกายน)
หนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่า สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับกัมพูชามากขึ้น คือ การที่สหรัฐฯ ปลดล็อก Arms Embargo (การห้ามซื้อขายอาวุธ) กับกัมพูชา เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 การปลดล็อกนี้หมายความว่า กัมพูชาสามารถซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ ได้ และสหรัฐฯ ก็จะได้รายได้จากการขายอาวุธ นี่เป็นประโยชน์โดยตรงทางเศรษฐกิจ
รองศาสตราจารย์อัทธ์มองว่า การปลดล็อกนี้เป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจที่ใหญ่กว่า ที่สหรัฐฯ ต้องการผูกมัดกัมพูชาให้เข้ามาอยู่ในฝั่งของสหรัฐฯ มากขึ้น และลดอิทธิพลของจีนในกัมพูชา
สหรัฐฯ เข้าไปร่วมมือทางทหารและปราบคอลเซ็นเตอร์ในเขมร
นอกจากการปลดล็อกการซื้อขายอาวุธแล้ว สหรัฐฯ ยังได้รับอนุญาตจากกัมพูชาให้เข้าไป ร่วมมือกันทางการทหาร และ ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Scam Center) ในกัมพูชาอีกด้วย
การที่กัมพูชายอมให้สหรัฐฯ เข้ามาดำเนินการในประเด็นเหล่านี้ถือเป็นการเปิดประตูให้สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในกัมพูชา ทั้งเรื่องของข้อพิพาททะเลจีนใต้ เรื่องของท่าเรือเหลี่ยม และเรื่องของการ Counter อิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีนที่เข้ามาในกัมพูชา
รศ.ดร.อัทธ์ มองว่า ข้อตกลงทางการค้าระหว่างกัมพูชากับสหรัฐฯ เป็นเหมือน “โซ่เส้นใหญ่” ที่จะล่ามกัมพูชาไว้กับสหรัฐฯ เพราะเมื่อก่อนกัมพูชาสนิทกับจีนมาก แต่ตอนนี้กำลังเปลี่ยนไปสนิทกับสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งสหรัฐฯ จะเข้าไปจัดการระบบการลงทุนให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบบริษัทที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาว่าทำอะไร ตรวจสอบว่าใช้แรงงานถูกต้องหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่จีนไม่เคยทำ กัมพูชาจะต้องปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ กติกา เพื่อให้มีความโปร่งใส
การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ โต 25% ใน 9 เดือนแรก แต่ไตรมาส 4 จะลดลง ข้อมูลที่น่าสนใจ คือ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ เติบโตถึง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ว่าจะมีภาษี 19% อยู่แล้วก็ตาม
เหตุผลที่การส่งออกโตมากในช่วงนี้ เพราะผู้นำเข้าในสหรัฐฯ กลัวว่าภาษีจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ จึงนำเข้าสินค้าไทยไปเก็บไว้ในคลังสินค้าที่สหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.อัทธ์ คาดการณ์ว่า ใน 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ (ไตรมาสที่ 4) การส่งออกจะลดลงแน่นอน อาจเหลือเติบโตเพียง 10% เพราะคลังสินค้าในสหรัฐฯ เต็มแล้ว
ส่วนปีหน้า (2569) การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ น่าจะไม่ดีเท่าปีนี้ เพราะภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์จะทำงานอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
ประมาณการว่างงานหลายล้านคน (ถ้าภาษี 36%)
หนึ่งในผลกระทบที่น่ากังวลที่สุด คือ การว่างงาน เพราะถ้าสหรัฐฯ เก็บภาษี 36% (ไม่ใช่ 19% เหมือนตอนนี้) แรงงานไทยรวมถึงแรงงานต่างด้าวจะว่างงานหลายล้านคน แม้ว่าตอนนี้ภาษียังอยู่ที่ 19% แต่ถ้าการเจรจาล้มเหลวและภาษีเพิ่มขึ้น หรือถ้าการส่งออกลดลงมาก ผลกระทบต่อการจ้างงานจะรุนแรงมาก การว่างงานนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในโรงงานขนาดใหญ่ แต่จะกระทบไปถึง SME และภาคเกษตรด้วย
ผลกระทบต่อ SME และภาคเกษตร หนักหนาสาหัส
ภาคเกษตรและ SME จะได้รับผลกระทบหนักมาก เพราะในภาคอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 20% เป็น SME และ 80% เป็นรายใหญ่ สำหรับ SME การเสียภาษี 19% ทำให้แข่งขันลำบาก เพราะ SME มีทุนน้อย ไม่สามารถปรับลดต้นทุนได้เท่ารายใหญ่ และไม่สามารถโยกย้ายไปขายตลาดอื่นได้ง่าย SME บางรายอาจต้องปิดกิจการ
สำหรับภาคเกษตร ผลกระทบหนักมาก เพราะสินค้าเกษตรไทยต้องแข่งกับสินค้าเกษตรจากเวียดนามและประเทศอื่นในอาเซียน ข้าวของไทยที่เสียภาษี 19% จะแพงกว่าข้าวของเวียดนาม ส่งผลกระทบไปถึงเกษตรกรโดยตรง ซึ่งเวียดนามแม้จะเสียภาษี 21% แต่ต้นทุนจริงของเวียดนามต่ำกว่า ประมาณ 15% ทำให้มีส่วนต่าง 6% ที่สามารถใช้แข่งขันได้
ต้นทุนการผลิตไทยสูงกว่าเวียดนาม ปัญหาความสามารถในการแข่งขัน
ประเด็นสำคัญ คือ ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าเวียดนาม ทั้งๆ ที่ไทยเสียภาษี 19% และเวียดนามเสียภาษี 21% แต่เวียดนามยังแข่งขันได้ดีกว่า เพราะต้นทุนจริงของเวียดนามต่ำกว่ามาก เพราะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นมาจากหลายปัจจัย เช่น ค่าแรง ค่าพลังงาน ค่าโลจิสติกส์ และประสิทธิภาพการผลิตที่ต่ำกว่า นี่เป็นปัญหาโครงสร้างที่ไทยต้องแก้ไขในระยะยาว ไม่ใช่แค่ปัญหาภาษีเพียงอย่างเดียว
ผลกระทบซัพพลายเชน 100% เมื่อถามถึงผลกระทบต่อซัพพลายเชน (Supply Chain) นั้น จะกระทบ 100% เพราะการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ครอบคลุมทุกประเภทสินค้า ทุกภาคส่วน
การเก็บภาษี 19% ส่งผลกระทบไปยังทั้งห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ภาคเกษตรที่เป็นวัตถุดิบ ภาคอุตสาหกรรมที่แปรรูป ไปจนถึงภาคการส่งออก
ซัพพลายเชนของไทยเชื่อมโยงกับซัพพลายเชนโลก และเมื่อมีอุปสรรคในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ ก็ส่งผลกระทบย้อนกลับมาที่ทุกส่วนของเศรษฐกิจไทย
แยกวิเคราะห์ผลกระทบ รายใหญ่ (FDI + ทุนไทย) VS SME VS เกษตรกร
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน รองศาสตราจารย์อัทธ์แยกวิเคราะห์ผลกระทบออกเป็น 3 กลุ่ม
ปัญหาสินค้าอุตสาหกรรมจากต่างชาติทุ่มตลาดไทย
นอกจากปัญหาการส่งออกแล้ว ยังมีปัญหาใหญ่อีกเรื่องคือ สินค้าอุตสาหกรรมจากต่างชาติเข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย ทำให้ SME ที่เป็นสินค้าไทยแข่งขันไม่ได้ โดยเฉพาะสินค้าที่ราคาถูก
รศ.ดร.อัทธ์ ได้เสนอแนะให้กระทรวงอุตสาหกรรมเข้าไปจัดการเรื่องของสินค้าอุตสาหกรรมที่เข้ามาแข่งขันและไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงการละเมิดสิทธิบัตรและลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้เลยในระยะเวลาไม่นาน ด้วยการเข้าไปตรวจสอบเรื่องคุณภาพสินค้าและมาตรฐานอย่างจริงจัง
มูลค่าเทคโนโลยีในสินค้าไทยต่ำกว่าเวียดนาม
ประเด็นสำคัญอีกประเด็น คือ ในสินค้าอุตสาหกรรมหนึ่งชิ้น มูลค่าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในสินค้าไทยต่ำกว่าสินค้าของเวียดนาม นั่นหมายความว่า เวียดนามในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมมีนวัตกรรม มีเทคโนโลยี มี AI เข้าไปเกี่ยวข้อง สร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าประเทศไทย นี่เป็นจุดอ่อนที่เกิดขึ้น และมีการศึกษาชัดเจน นี่เป็นปัญหาโครงสร้างการผลิตของไทยที่ต้องแก้ไข ไม่ใช่แค่ปัญหาภาษีเท่านั้น

เสนอ ออฟชั่นใหม่ เพื่อปลดล็อกการเจรจา รองศาสตราจารย์อัทธ์เสนอทางออกสำคัญคือ การ เสนอออฟชั่นใหม่ ให้กับสหรัฐฯ เพื่อปลดล็อกการเจรจา โดยมองว่า สหรัฐฯ มองประโยชน์เป็นหลัก ถ้าได้ประโยชน์ ก็จะไม่สนใจเรื่องอื่น
ออฟชั่นที่เสนอควรเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการจริงๆ เช่น
สินค้าเกษตร 237 รายการที่สหรัฐฯ ปลดล็อกภาษี โอกาสของไทย
โอกาสสำคัญที่ไทยต้องคว้า คือ สินค้าเกษตร 237 รายการที่สหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ว่า จะไม่เก็บภาษี เพราะสหรัฐฯ ผลิตไม่ได้ ราคาแพง และคนอเมริกันเดือดร้อนจากราคาสินค้าที่แพง
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ทำสินค้าเกษตรได้หลากหลายและมีคุณภาพ นี่เป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยควรเข้าไปคุยกับผู้นำเข้าในสหรัฐฯ สร้างคำสั่งซื้อด้วยราคาพิเศษ ด้วยสินค้าที่มีมาตรฐาน
การทำเช่นนี้จะทำให้สมาคมผู้นำเข้าในสหรัฐฯ ไปบอก USTR หรือทรัมป์ว่า สินค้าไทยมีความจำเป็นต้องนำเข้า และเป็นการสร้างแรงกดดันในเชิงบวกให้ปลดล็อกการเจรจา
ขยายตลาดใหม่ ตะวันออกกลาง อินเดีย ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้
นอกจากตลาดสหรัฐฯ แล้ว ไทยต้องเร่งขยายตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง อินเดีย ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ซึ่งรัฐบาลก็พูดมาหลายปีแล้ว แต่รองศาสตราจารย์อัทธ์ชี้ให้เห็นว่า ส่วนแบ่งตลาดในประเทศเหล่านี้ไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะเรายังย่ำอยู่กับตลาดหลักๆ เหมือนเดิม เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี
การขยายตลาดใหม่ต้องทำจริงจัง ไม่ใช่แค่พูด
รื้อระบบการทำตลาดส่งออก จากแสดงสินค้า 1 สัปดาห์ เป็น 3-6 เดือน
ประเด็นสำคัญ คือ ต้องรื้อระบบการทำตลาดส่งออกใหม่ เพราะระบบเดิมไม่ได้ผล
เสนอระบบรางวัลสำหรับเจ้าหน้าที่การค้า แทนการโรเตท
ข้อเสนอที่น่าสนใจมาก คือ เรื่องของ ระบบรางวัล (Reward System) สำหรับเจ้าหน้าที่การค้าที่อยู่ต่างประเทศ แทนระบบ Rotation (หมุนเวียน) แบบเดิม
ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ไปอยู่ต่างประเทศ 4 ปีแล้วต้องกลับ คนใหม่มาแทน คนใหม่ต้องนั่งศึกษาว่าผู้นำเข้าในประเทศนี้เป็นยังไง ประเทศนี้เป็นยังไง คนรสนิยมเป็นยังไง เสียเวลามาก
ถ้าใครทำได้ดี ให้ทำต่อ ตั้งเป้าว่า ถ้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ 10% จะโปรโมทให้เป็นผู้อำนวยการ รองอธิบดี หรือเลื่อนขั้น 2 ขั้น รายได้เพิ่ม เครดิตดีขึ้น
ระบบนี้จะสร้างแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างจริงจังและเกิดผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงในแต่ละตลาด ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ประกอบการไทยได้อย่างถูกต้องและชัดเจน
ลงทุนในสหรัฐฯ และร่วมงานกับ Scam Center (STRIFUS)
ข้อเสนอที่ 2 และ 3 ที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้คือ การไปลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และ การร่วมทำงานกับ STRIFUS (หน่วยงานปราบ Scam Center ของสหรัฐฯ)
การลงทุนในสหรัฐฯ จะแสดงให้เห็นว่าไทยจริงจังกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และการร่วมงานปราบ Scam Center ก็จะแสดงให้เห็นว่าไทยร่วมมือกับสหรัฐฯ ในประเด็นที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญ
เวียดนามมีศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ไทยไม่มี ความแตกต่างสำคัญระหว่างไทยกับเวียดนามคือ เวียดนามมีศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ เยอะมาก ขณะที่ไทยไม่มี
ยกตัวอย่างเช่น ในรัฐเวอร์จิเนีย มีห้างของเวียดนามขนาดใหญ่มาก ไม่ได้ขายแค่คนเวียดนาม แต่ขายคนเอเชียทั้งหมด ขายคนอเมริกัน ราคาถูก ขนาดใหญ่
ในห้างเวียดนามนี้ มีสินค้าไทยบางส่วน ประมาณ 2-3% เท่านั้น เช่น กะปิ น้ำปลา พริก ที่เหลือเป็นสินค้าเวียดนาม สินค้าญี่ปุ่น สินค้าเกาหลี ถ้าเป็นอาหารทะเลและเกษตร เวียดนาม 100%
ความสามารถในการมีศูนย์กระจายสินค้าในสหรัฐฯ นี้เป็นจุดแข็งของเวียดนาม ที่ไทยยังทำไม่ได้ แม้จะเคยพยายามทำหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ
เวียดนามเสียภาษี 21% แต่ต้นทุนจริงต่ำกว่า
ประเด็นสำคัญที่ต้องเข้าใจ คือ แม้เวียดนามจะเสียภาษี 21% (สูงกว่าไทยที่ 19%) แต่ ต้นทุนจริงของเวียดนามต่ำกว่ามาก
รศ.ดร.อัทธ์ ประเมินว่า เวียดนามมีต้นทุนการเปลี่ยนแปลงจริงประมาณ 15% จึงมีส่วนต่างอยู่ซัก 6% ที่สามารถใช้แข่งขันกับสินค้าประเทศอื่นได้และได้เปรียบ
ต้นทุนที่ต่ำกว่านี้มาจากหลายปัจจัย เช่น ค่าแรงที่ต่ำกว่า ประสิทธิภาพการผลิตที่สูงกว่า และการใช้เทคโนโลยีในการผลิต
ถุงมือยางธรรมชาติ VS ยางสังเคราะห์ เข้าใจผิดในการวัดมูลค่า
ยกตัวอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเข้าใจผิดในการส่งออกถุงมือยาง บางคนเข้าใจว่า การส่งออกถุงมือยางเท่ากับไทยได้ประโยชน์ แต่ความจริงไม่ใช่ ถุงมือยางต้องแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ถุงมือยางธรรมชาติ ที่ทำจากน้ำยางจากต้นยาง กับ ถุงมือยางสังเคราะห์ ที่ทำจากสารเคมี
ประเทศไทยมีต้นยาง จึงผลิตยางธรรมชาติได้ ถ้าเราส่งออกถุงมือยางธรรมชาติ ผลประโยชน์จะไปถึงเกษตรกรชาวสวนยาง ราคายางก็จะไม่ตก แต่ถ้าส่งออกถุงมือยางสังเคราะห์ เราไม่ได้ผลิตยางสังเคราะห์เอง ต้องนำเข้ายางสังเคราะห์จากจีน อเมริกา ยุโรป ที่ผลิตได้เพราะไม่มีต้นยาง ผลประโยชน์จึงไม่ได้ไปถึงชาวสวนยาง รายได้ไม่เข้ากระเป๋าชาวสวนยาง
นี่เป็นตัวอย่างความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นในหน่วยงานไทยที่อยู่ต่างประเทศบางแห่ง ที่ยังคิดว่าการส่งออกถุงมือยางสังเคราะห์เพิ่มขึ้นหมายถึงมูลค่าตลาดสูงขึ้น แต่มันไม่ตกถึงท้องชาวสวนยาง
กระทรวงพาณิชย์ อุตสาหกรรม เกษตร ยังไม่เชื่อมโยงกัน ประเด็นสำคัญที่รศ.ดร.อัทธ์ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน คือ ทั้ง 3 กระทรวง คือ พาณิชย์ อุตสาหกรรม และเกษตร ยังไม่เชื่อมโยง กัน
เกษตรกรผลิตไปเรื่อยๆ อุตสาหกรรมทำไปเรื่อยๆ พาณิชย์ส่งออกไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีการเชื่อมโยงกัน นี่คือจุดอ่อนในการขับเคลื่อนไปข้างหน้า
ความเข้าใจเรื่องสงครามการค้าในแต่ละกระทรวงไม่เท่ากัน
นอกจากไม่เชื่อมโยงกันแล้ว ความเข้าใจในเรื่องสงครามการค้าในกระทรวงต่างๆ ไม่เท่ากัน ยังไม่เห็นภาพร่วมกัน
เมื่อถามว่าระหว่าง 3 กระทรวง กระทรวงไหนกังวลมากที่สุด คือ กระทรวงพาณิชย์กังวลมากที่สุด เพราะเป็นหน้าด่านที่รับแรงกระแทกมากที่สุด ข้อมูลข่าวสารวิ่งไปที่พาณิชย์ รองลงมาคืออุตสาหกรรม และ สุดท้ายคือเกษตร ความเข้มข้นหรือความเข้าใจในสงครามการค้าของทั้ง 3 กระทรวงไม่เท่ากัน ทำให้การทำงานร่วมกันไม่เต็มประสิทธิภาพ
เรื่องเร่งด่วน ตรวจสอบสินค้าอุตสาหกรรมละเมิดมาตรฐาน
ในเรื่องที่ทำได้เร็วและเร่งด่วน รศ.ดร.อัทธ์เสนอให้ กระทรวงอุตสาหกรรมเข้าไปจัดการเรื่องสินค้าอุตสาหกรรมจากต่างประเทศที่เข้ามาทุ่มตลาดและไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงการละเมิดสิทธิบัตรและลิขสิทธิ์
การเข้าไปตรวจสอบเรื่องคุณภาพสินค้าและมาตรฐานของสินค้าต่างประเทศที่เข้ามาแข่งกับสินค้าอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะที่เป็น SME ควรทำอย่างจริงจัง เพราะเป็นเรื่องที่ใช้เวลาไม่นาน ทำได้เลย ภายใน 1-2 เดือน
นอกจากนี้ ยังควร ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการเข้าไปตรวจสอบบริษัทอุตสาหกรรมที่ตั้งในประเทศไทยว่าทำตามวัตถุประสงค์หรือไม่ เช่น บริษัทบอกว่าจะผลิตอันนี้ แต่จริงๆ ไม่ได้ทำ
Green Industry และ CBAM (ภาษีคาร์บอนยุโรป) ที่จะมาถึงปีหน้า
ถ้ามีเวลามากกว่านี้ แนะนำให้รัฐบาลผลักดันอุตสาหกรรมให้เป็น BCE (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อลดโลกร้อนและสร้างความยั่งยืนของอุตสาหกรรม ซึ่งเป็น Green Industry เข้าไป ซึ่งเป็นเทรนด์ระดับโลก และปีหน้า (2569) ไทยจะเจอ ภาษีคาร์บอนของยุโรป ที่เรียกว่า CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งเป็นภาษีสินค้าอุตสาหกรรมหลักๆ เลย
กระทรวงอุตสาหกรรมควรเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนนี้
บริษัทไทยเกี่ยวข้องคอลเซ็นเตอร์ กระทบภาพลักษณ์ อีกประเด็นหนึ่งที่รศ.ดร.อัทธ์กล่าวถึงคือ บริษัทที่เป็นของคนไทยที่ไปเกี่ยวข้องกับคอลเซ็นเตอร์ (Scam Center) ซึ่งสหรัฐฯ เพิ่งออกข่าวว่าคว่ำบาตร เรื่องนี้ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้สหรัฐฯ ไม่มีความเชื่อมั่นกับไทย ดังนั้นรัฐบาลควรเข้าไปจัดการอย่างจริงจัง
ศาลฎีกาสหรัฐฯ อาจตัดสินคดีภาษีตอบโต้ กลางปี 2026 แม้ว่าสถานการณ์จะดูมืดมน แต่รศ.ดร.อัทธ์ มองว่ามีแสงสว่างปลายอุโมงค์ คือ ในปีหน้า (2569) ศาลฎีกาสหรัฐฯ น่าจะตัดสินคดีภาษีตอบโต้ว่า ทรัมป์ไม่มีอำนาจในการใช้อำนาจในการเก็บภาษีประเทศต่างๆ
ผู้เชี่ยวชาญ คาดว่าผลการตัดสินคดีน่าจะออกมา ประมาณกลางปีหน้า ราวเดือนมิถุนายน 2569 ถ้าศาลตัดสินให้ ก็จะเป็นโอกาสของการส่งสินค้าไทย
แต่ทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน เพราะทรัมป์คงกลับไปใช้กฎหมายอื่นๆ เพื่อมาเก็บภาษีสินค้าต่อไป เหมือนที่กำลังเก็บ เหล็ก อลูมิเนียม 50% ชิ้นส่วนรถยนต์ 50% ของแต่ละประเทศ
ปี 2026 การส่งออกไทยไม่ดีเท่าปี 2025
รศ.ดร.อัทธ์ คาดการณ์ว่า ปีหน้า (ปี 2569) การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ไม่น่าจะดีเท่าปีนี้ เหตุผลคือ ปีหน้าภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์จะทำงานอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ การส่งออกจะชะลอตัวลง แม้จะมีโอกาสจากคดีที่ศาลฎีกาตัดสิน แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง
ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ก็จะเห็นตัวเลขที่ชัดเจนว่าผลกระทบเริ่มปรากฏ การส่งออกที่เติบโต 25% ใน 9 เดือนแรกจะลดลงเหลือประมาณ 10% ในไตรมาสสุดท้าย และปีหน้าก็จะยากลำบากต่อเนื่อง ด้านภาษีรายสินค้า เหล็กและอลูมิเนียม 50% ชิ้นส่วนรถยนต์ 50% ยา 100%
นอกจากภาษี 19% ที่ใช้กับสินค้าไทยทั่วไปแล้ว สหรัฐฯ ยังมีการเก็บ ภาษีเฉพาะรายสินค้า ด้วย ซึ่งรองศาสตราจารย์อัทธ์ยกตัวอย่างเช่น
ภาษีรายสินค้าเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับภาษีตอบโต้แบบ Reciprocal Tariff ที่ตัดหัวเราะ 19% แต่เป็นภาษีแยกต่างหาก ซึ่งจะส่งผลกระทบเฉพาะอุตสาหกรรมเหล่านั้น

การระงับการเจรจาภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ครั้งนี้ ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจไทย จากการวิเคราะห์ของ รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน สะท้อนให้เห็นว่า สถานการณ์นี้มีทั้งผลกระทบในระยะสั้นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และโอกาสในระยะยาวที่ไทยสามารถใช้ประโยชน์ได้
สิ่งสำคัญที่สุด คือ การมองเห็นว่า สงครามการค้าในยุคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของภาษี แต่เป็นเรื่องของกลยุทธ์ภูมิรัฐศาสตร์ ความมั่นคง และผลประโยชน์ของแต่ละชาติ ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวและเล่นเกมนี้อย่างชาญฉลาด ไม่ใช่แค่รอความช่วยเหลือจากภายนอก
การเจรจาอาจจะชะลอ แต่โอกาสในการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยให้แข็งแกร่งขึ้น ยังคงเปิดกว้างอยู่ และนี่อาจจะเป็นโอกาสทองที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยพัฒนาไปในทิศทางที่ยั่งยืนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา Green Industry การยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือการสร้างความหลากหลายของตลาดส่งออก ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ไทยต้องทำอยู่แล้ว และตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเร่งทำให้จริงจัง
คำแนะนำสุดท้าย ในยามที่สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศผันผวน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการไม่หยุดนิ่ง แต่ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือประชาชนทั่วไป ต้องร่วมมือกันเพื่อให้ประเทศไทยผ่านพ้นความท้าทายครั้งนี้ไปได้ และแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต
อ้างอิงจาก F1 Money