
เศรษฐกิจไทยในปี 2025 กำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญ เมื่อตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ออกมาเพียง 1.2% ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายฝ่ายที่มองไว้ที่ 1.6-1.7% ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจจาก InnovestX ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษผ่านรายการ F1 Money ด้วยข้อมูลเชิงลึกถึงสาเหตุและแนวทางแก้ไขใน ซึ่งสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ต้องการการปฏิรูปอย่างเร่งด่วน

GDP ไทยไตรมาส 3/2025 โต 1.2% สะท้อนปัญหาการคลังและการท่องเที่ยว การเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3/2025 ที่ออกมาเพียง 1.2% นั้นต่ำกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ที่ 1.6-1.7% อย่างมาก สาเหตุหลักมาจากการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่ติดลบทั้งคู่ หากปัจจัยทั้งสองนี้ไม่หดตัว GDP น่าจะเติบโตได้ประมาณ 2.3%
ช่วงไตรมาส 3/2025 เกิดความผันผวนทางการเมือง รวมถึง ปัญหากับกัมพูชา ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวยังชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกบริการ ติดลบถึง 10.7% ซึ่งสะท้อนจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง
แม้ตัวเลขการส่งออกไตรมาส 3/2025 โตแรงถึง 10-15% แต่เมื่อวิเคราะห์เชิงลึก พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และทอง การส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตถึง 45-50% นั้น ส่วนใหญ่ส่งไปยังสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าการนำเข้าของไทย พบว่า การนำเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากจีนและไต้หวัน พบว่า ตัวเลขใกล้เคียงกันมาก
ต้นปีการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ไปสหรัฐฯ ยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน แต่ขณะนี้พุ่งขึ้นเป็น 3,500 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันการนำเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากจีนและไต้หวันก็เพิ่มขึ้นจาก 1,500 เป็น 2,000-3,000 ล้านดอลลาร์ สิ่งนี้บ่งชี้ว่า มีการทำ Transhipment คือ นำสินค้าเข้ามาโดยไม่ได้เพิ่มมูลค่ามากนัก แล้วส่งออกไป นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชน (กกร.) ไม่ได้ปรับประมาณการ GDP ขึ้น เพราะการส่งออกที่เพิ่มขึ้นมาจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
รถไฟความเร็วสูงและโครงสร้างพื้นฐาน โครงการ 5 ล้านล้านที่ติดขัด
ประเทศไทยมีแผนโครงการโครงสร้างพื้นฐานจากกระทรวงคมนาคมและสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งรวมมูลค่าถึง 5 ล้านล้านบาท หากสามารถดำเนินการได้จริง โครงการเหล่านี้จะช่วยผลักดัน GDP ให้เติบโตได้ประมาณ 1-1.5% ต่อปีต่อเนื่องไปกว่า 10 ปี ทั้งในช่วงระหว่างทำโครงการและหลังโครงการเสร็จ
อย่างไรก็ตาม โครงการสำคัญที่เป็น flagship ได้แก่ รถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน (EEC) และโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Land Bridge ยังคงติดขัดและไม่มีความชัดเจน รถไฟความเร็วสูงมีการประมูลเสร็จมา 7 ปีแล้ว แต่ไม่ได้สร้างเลยเป็นศูนย์ โครงการเหล่านี้จำเป็นต่อการลดการพึ่งพาการคมนาคมผ่านรถยนต์ และจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้มากขึ้น
ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปี 2015-2016 หลังจากวิกฤตการเงินโลก ช่วงนั้นเศรษฐกิจแย่ ทำให้ภาครัฐผลักดันโครงการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศผ่านโครงการรถคันแรก บ้านหลังแรก ทำให้สินเชื่อผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง แต่รายได้ของประชาชนไม่ได้เพิ่มขึ้นตามราคาสินค้า
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามคุมหนี้ครัวเรือนด้วยการจำกัดสินเชื่อ ทำให้สินเชื่อติดลบในช่วงที่ผ่านมา วิธีการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนมี 2 ทาง คือ ลดหนี้ หรือขยาย GDP ให้โตขึ้น แต่แนวทางของธนาคารกลางเน้นการคุมหนี้ให้น้อยลงเป็นหลัก
เงินเฟ้อติดลบ แต่ของแพง ทำไมรายได้ไม่ขึ้นตามราคา
ปรากฏการณ์ที่ประชาชนรู้สึกว่า ของแพงแม้เงินเฟ้อจะติดลบ หรือเป็นศูนย์นั้น เกิดจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นมาในช่วงหลัง COVID-19 ช่วง reopening มีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น แต่การผลิตไม่ทันทำให้ราคาพุ่งขึ้น แต่เงินเดือนไม่ได้ปรับตาม หลังจากนั้น ราคาสินค้าค่อยๆ ทรงตัวหรือขึ้นเล็กน้อย แต่เงินเดือนยังคงขึ้นน้อยกว่ามาก นี่คือ เหตุผลที่ประชาชนรู้สึกทุกข์ทรมาน นั่นจึงทำให้โครงการคนละครึ่งได้รับการตอบรับดี เพราะคนขาดรายได้จริงๆ
InnovestX คาดการณ์ว่า เงินเฟ้อปี 2025 จะติดลบประมาณ 0.1% และปี 2026 อาจจะยังคงติดลบต่อเนื่องจนถึงกลางปี ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเสี่ยงต่อภาวะเงินฝืด (Deflation)
ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 1.9-2.5% ต่อปี ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามโตประมาณ 6-7% ฟิลิปปินส์ 5-6% อินโดนีเซียและมาเลเซีย 4-5% และสิงคโปร์ 3-4% จากตัวเลขดังกล่าว ไทยมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงหรือต่ำกว่าสิงคโปร์เล็กน้อย แต่เรายากจนกว่าสิงคโปร์อย่างมหาศาล
หากพิจารณาจากขนาดเศรษฐกิจ ไทยยังอยู่อันดับ 2 ของอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียมีประชากรเกือบ 300 ล้านคน ทำให้รายได้ต่อหัวของอินโดนีเซียค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับไทย รายได้ต่อหัวของไทยอยู่ที่ประมาณ 7,000-8,000 ดอลลาร์ ในขณะที่มาเลเซียมีรายได้ต่อหัว 2 เท่าของไทยที่ 13,000-14,000 ดอลลาร์
นโยบายการเงินตึงตัว ธนาคารแห่งประเทศไทยรักษาดอกเบี้ยสูง
นโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยค่อนข้างตึงตัวในช่วงที่ผ่านมา แม้เงินเฟ้อจะไม่มีหรือติดลบ แต่ธนาคารกลางยังคงรักษาดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงเพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันในกรณีที่เงินเฟ้อกลับมาเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งนี้กลับส่งผลให้เงินเฟ้อติดลบในปัจจุบัน
การรักษาดอกเบี้ยนโยบายสูงทำให้ปริมาณเงินในระบบต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เมื่อปริมาณเงินออกมาในระบบน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ที่ออกเงินมามากกว่า ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาประมาณ 20 กว่าปี ทำให้ตั้งแต่ปี 2012 ถึง 2025 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับคู่ค้าคู่แข่งทุกสกุลเงินมากกว่า 30%
ปริมาณเงินในระบบต่ำ บาทแข็งค่าเกินไป กระทบการส่งออก
เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างบาทกับริงกิตอยู่ที่ 10 บาทต่อ 1 ริงกิต ปัจจุบันอยู่ที่ 7 บาทต่อ 1 ริงกิต การที่บาทแข็งค่าทำให้รายได้ของผู้ส่งออกเมื่อแปลงเป็นเงินบาทไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าที่ควร ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ที่มีค่าเงินอ่อนค่าลงได้รับผลประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนมีกำไรมากขึ้น สามารถนำเงินไปพัฒนาสินค้าและเพิ่มเงินเดือนให้พนักงาน
ในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปี ในขณะที่เวียดนามเติบโต 15% สิงคโปร์ 7-8% และฟิลิปปินส์ 11-12% เมื่อเทียบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยโตประมาณ 2% ขณะที่เวียดนามโต 6% และฟิลิปปินส์โต 5% เงินเฟ้อของไทยในรอบ 12 ปีโตเฉลี่ยเพียง 1.3% ขณะที่เวียดนามโต 3.7% สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่งชี้ ถึงความตึงตัวของนโยบายการเงินไทยที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน

เวียดนาม ความสำเร็จจากการปฏิรูป Doi Moi โต 6-7% ต่อเนื่อง : เวียดนามมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในทศวรรษ 1980 ผ่านนโยบาย Doi Moi ซึ่งเป็นการปฏิรูปจากระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่ปิดมาเป็นระบบตลาดมากขึ้น สิ่งที่โชคดีคือผู้นำของเวียดนามในทุกยุคทุกสมัย แม้จะไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่มี growth mindset คือ ความตั้งใจที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโต
เวียดนามเปิดเสรีการค้าและมุ่งเน้นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ นโยบายการเงินและการคลังของเวียดนามค่อนข้างผ่อนคลาย สร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินของเวียดนามอ่อนค่าลงประมาณ 3-4% ต่อปีอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เงินเฟ้อสูงในระดับ 3-4% แต่ไม่มากเกินไป สิ่งนี้ช่วยให้การส่งออกเพิ่มขึ้นและเศรษฐกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
เวียดนามมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) มากกว่า 20 ฉบับและเป็นสมาชิกของเขตการค้าเสรีมากกว่า 10 แห่ง รวมถึง ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกที่ครอบคลุมและก้าวหน้า (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership หรือ CPTPP) ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าเสรีระหว่าง 12 ประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย, บรูไน, แคนาดา, ชิลี, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, เม็กซิโก, นิวซีแลนด์, เปรู, สิงคโปร์, เวียดนาม และสหราชอาณาจักร ซึ่งประเทศไทยไม่ได้เป็นสมาชิก การส่งออกของเวียดนามเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปีในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ไทยเติบโตเพียง 3%
มาเลเซีย Multimedia Super Corridor ผู้นำด้านชิปรองจากไต้หวัน : ในช่วงปี 1993-1997 ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มาฮาเธร์ มูฮัมหมัด มีวิสัยทัศน์ตั้งโครงการ Multimedia Super Corridor (MSC) โครงการนี้มีแผนพัฒนาด้านอิเล็กทรอนิกส์เป็นแถบพื้นที่พัฒนา Real Estate ที่มาสิ้นสุดที่ตึกแฝดเปโตรนาส โครงการดังกล่าวดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ให้เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
บริษัทใหญ่ระดับโลกอย่าง Infineon, Intel และอื่นๆ เข้ามาลงทุนในมาเลเซีย ทำให้มาเลเซียกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิปอันดับต้นๆ ของโลก รองเพียงไต้หวัน ความมุ่งมั่นและแผนงานที่ชัดเจนตั้งแต่ช่วงปี 1993-1997 ทำให้มาเลเซียสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในด้านเทคโนโลยี
มาเลเซียมีกฎระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน ทำให้นักลงทุนสามารถเข้ามาดำเนินการได้ง่าย การส่งออกด้านชิปของมาเลเซียสูงมากและความสามารถในการผลิตชิปอยู่ในระดับสูงรองจากไต้หวัน
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยหายไปมากในช่วง 3-4 ปีก่อน โดยในปี 2023 FDI ของไทยติดลบ จนถึงปัจจุบัน FDI ของไทยอยู่ที่ประมาณ 2% ต่อ GDP ในขณะที่มาเลเซียและเวียดนามมี FDI อยู่ที่ประมาณ 4% ต่อ GDP ซึ่งสูงกว่าไทยถึง 2 เท่า
ปัญหาหนึ่ง คือ ตัวเลข FDI ของไทยที่วัดจากบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ซึ่งเป็นการขอสิทธิพิเศษ แต่ในความเป็นจริงยังไม่ได้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนจริง ตัวเลขที่แท้จริงควรวัดจากองค์การสหประชาชาติที่วัดเป็นปริมาณเงินที่ไหลเข้ามาจริง แม้จะมีการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนเยอะในช่วงหลัง แต่การลงทุนจริงยังไม่เกิดขึ้นมากเท่าที่ควรเนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ในช่วงหลัง FDI เริ่มเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แผงวงจร PCB จากไต้หวันและจีน นอกจากนี้ ยังมีในกลุ่มไบโอเคมิคัล ชีวภาพ และอาหาร แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นด้านอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก
ค่าแรงไทยเทียบเวียดนาม ไทย 210-250 ดอลลาร์ เวียดนาม 85-95 ดอลลาร์
ค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ที่ประมาณ 300-400 บาทต่อวัน หรือ 210-250 ดอลลาร์ต่อเดือน ในขณะที่เวียดนามมีค่าแรงอยู่ที่ประมาณ 85-95 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าไทยเล็กน้อย อย่างไรก็ตามหากเทียบกับมาเลเซีย ค่าแรงของไทยต่ำกว่า โดยมาเลเซียมีค่าแรงประมาณ 381 ดอลลาร์ต่อเดือน ใกล้เคียง 400 ดอลลาร์ ซึ่งเกือบ 2 เท่าของไทย
แม้ค่าแรงของมาเลเซียจะสูง แต่ผลผลิตของมาเลเซียอยู่ในระดับสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรม และชิป ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมชั้นสูง ดังนั้นค่าแรงเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจ แต่ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ตลาดในประเทศ โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากร
ไทยกำลังเผชิญปัญหาสังคมสูงวัย โดยกำลังแรงงานลดลงมาประมาณ 3-4 ปีแล้ว ปัจจุบันจำนวนประชาชนที่เสียชีวิตหรือย้ายออกนอกประเทศมากกว่าจำนวนคนที่เกิดใหม่ ทำให้จำนวนประชากรไทยทั้งหมดกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่วัยทำงานเท่านั้น ในอีกประมาณ 5 ปีข้างหน้า ไทยจะกลายเป็นสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ ก
การที่ประชากรลดลงส่งผลกระทบ 2 ด้าน คือ ตลาดในประเทศจะค่อยๆ ลดลง และแรงงานที่จะเข้ามาทำงานในโรงงานก็จะน้อยลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น สิ่งนี้ทำให้การดึงดูด FDI ทำได้ยากขึ้น เพราะนักลงทุนต้องพิจารณาทั้งตลาดในประเทศและแหล่งแรงงาน
จากการศึกษาของธนาคารโลก (World Bank) ในรายงาน Transparency and Accountability of Institutions ปี 2025 พบว่า ไทยมีดัชนีด้านสถาบันประมาณ 14 ตัว และในจำนวนนั้นไทยอยู่ใน 1/3 ที่แย่ที่สุดของโลกถึง 12 ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัดที่น่ากังวล ได้แก่ การคอร์รัปชั่น โดยภาคเอกชน มองว่าคอร์รัปชั่นเป็นสิ่งที่น่ากังวลที่สุด รวมถึง เรื่องของการคอร์รัปชั่นของหน่วยงานระดับสูง (Executive Bribery) นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการที่เจ้าหน้าที่รัฐหรือข้าราชการให้ความเอื้อประโยชน์ต่อนักธุรกิจบางกลุ่มที่เป็นพวกเดียวกัน ความเสี่ยงด้านคอร์รัปชั่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหนึ่ง มาจากการวางแผนนโยบายของไทยไม่ชัดเจน หากไทยไม่ปรับเปลี่ยนแนวทางให้โปร่งใสและลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ ปัญหาเหล่านี้ก็จะยังคงอยู่ต่อไป
การให้ใบอนุญาตที่มากเกินไปทำให้คนที่สามารถตัดสินใจได้ คือ เจ้าหน้าที่รัฐตามหลักเศรษฐศาสตร์ สิ่งนี้นำไปสู่ Rent Seeking คือ โอกาสในการมีค่านํ้าร้อนนํ้าชา หากไทยลดกฎระเบียบและทำให้การทำธุรกิจง่ายขึ้น โดยใช้เกณฑ์ที่ชัดเจนว่า หากเข้าเกณฑ์ก็สามารถดำเนินการได้ จะช่วยลดโอกาสในการคอร์รัปชั่น และการลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐและทำให้กระบวนการโปร่งใสขึ้นจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ โครงการ Regulatory Guillotine ที่ต้องการลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นเป็นแนวทางหนึ่งที่สำคัญ
จากดัชนีของธนาคารโลกที่ชี้วัดโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มเดียวกันอย่างมาเลเซีย ตุรกี จีน โปแลนด์ อินโดนีเซีย และเม็กซิโก ไทยแย่กว่าใน 2 จุดสำคัญ จุดแรก คือคุณภาพของรถไฟ ซึ่งไทยต่ำที่สุดในกลุ่ม มีเพียงฟิลิปปินส์เท่านั้นที่ต่ำกว่า คะแนนของไทยอยู่ที่ 2.6 ในขณะที่ประเทศที่ดีอย่างเกาหลีและมาเลเซียมีคะแนนดีกว่าไทยประมาณ 2 เท่า
การพัฒนารถไฟความเร็วสูงจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดการพึ่งพาการคมนาคมผ่านรถยนต์ และทำให้การเดินทางรวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ เช่น หัวหิน หรือภาคอีสาน ได้มากขึ้น
ด้าน Broadband และ Server ไม่พอ มี 86 เซิร์ฟเวอร์ต่อ 10 ล้านคน เทียบโปแลนด์ 2,000-4,000 : ด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ไทยยังล้าหลังมาก จำนวนเซิร์ฟเวอร์ต่อ 10 ล้านคนของไทยมีเพียง 86 เซิร์ฟเวอร์ ในขณะที่ประเทศที่ดีอย่างโปแลนด์หรือบัลแกเรียมี 2,000-4,000 เซิร์ฟเวอร์ เมื่อระบบส่งสัญญาณเร็วขึ้น เอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ เพราะทุกอย่างก็สามารถไหลเข้าสู่ระบบออนไลน์ได้มากขึ้น
ปัญหาเกิดจากการที่ไทยประมูลใบอนุญาตโทรคมนาคมในราคาสูงมาก ทำให้ผู้ให้บริการที่ได้รับใบอนุญาตต้องลงทุนเงินจำนวนมาก เมื่อได้ใบอนุญาตแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องผลักดันการขยายโครงข่ายมากนัก เพราะการแข่งขันจากคนอื่นมีน้อย ทางแก้ที่แท้จริง คือ ไม่ควรประมูลในราคาสูง แต่ควรผลักดันให้มีการแข่งขันมากขึ้น และให้ราคาถูกลง
งานวิจัยร่วมกันระหว่างสภาพัฒน์และกระทรวงการคลัง พบว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมให้ผลประโยชน์ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุด เพราะมันเป็นพื้นฐานของโลกอนาคต โดยเฉพาะความต้องการด้าน AI และเทคโนโลยีใหม่ๆ
สภาพัฒน์และดร.ปิยศักดิ์ ต่างมองเห็นว่า วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Cycle) ที่มีอายุประมาณ 3 ปีกำลังจะสิ้นสุดลงในกลางปี 2025 ทุกๆ 3 ปีจะมีการบูมของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ออกมา ทำให้คนต้องการเปลี่ยน Gadget ความต้องการจะสูงขึ้นในช่วง 2-3 ปี แล้วจะถึงจุดสูงสุด (Peak) จากนั้นอีก 1-2 ปีจะค่อยๆ ลดลง
วัฏจักรปัจจุบันเริ่มตั้งแต่ประมาณ 3 ปีครึ่งที่แล้วและจะสิ้นสุดกลางปีหน้า ดังนั้น การส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นตัวหลักผลักดันเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากในปีหน้า อย่างไรก็ตามหากความต้องการ Data Center ยังคงมีอยู่ ก็อาจช่วยพยุงการส่งออกแผง PCB ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ได้บ้าง
การส่งออกที่เติบโตแรงในไตรมาส 3/2025 ที่ประมาณ 10-15% จะชะลอลงเหลือใกล้ศูนย์ในไตรมาส 4/2025 ทำให้ทั้งปีการส่งออกจะเติบโตประมาณ 10% เท่านั้น สัญญาณการชะลอตัวชัดเจนจากการส่งออกของจีนและเกาหลีใต้ที่ส่งออกไปยังโลกชะลอลง เมื่อจีนซึ่งเป็น “โรงงานโลก” และเกาหลีซึ่งเป็น “ท่าเรือโลก” ชะลอลง Supply Chain ของโลกก็จะชะลอลงตามไปด้วย
สาเหตุเพราะในฝั่งอเมริกาหรือยุโรป พวกเขานำเข้าสินค้ามาล่วงหน้า (Front Loading) เต็มโกดังแล้ว เมื่อภาษีเริ่มขึ้นจริงตั้งแต่เดือนสิงหาคม-กันยายนที่ผ่านมา ราคาสินค้าเริ่มเพิ่มขึ้น ในระยะต่อไปการนำเข้าจะน้อยลง เพราะต้องระบายสินค้าคงคลังก่อน
ความไม่แน่นอนจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นความเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย การที่สหรัฐฯ ยังไม่ได้คุม Transhipment อย่างเข้มงวดเท่ากับการสวมสิทธิ์ทำให้ปัจจุบันยังไม่มีการเก็บภาษีเพิ่ม แต่หากเริ่มคุมเข้ม ภาษีจะเด้งขึ้นจาก 20% เป็น 40-49% สิ่งนี้เป็นความเสี่ยงต่อการส่งออกของไทยที่ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาและอัตราภาษีของทรัมป์ ก็อาจส่งผลกระทบต่อไทยด้วย ตลาดการเงินจะมีความผันผวนมากขึ้นเนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐและนโยบายการเงินคาดการณ์ได้ยากขึ้น
InnovestX คาดการณ์ว่า GDP ของไทยในปี 2025 จะเติบโต 1.8% ซึ่งต่ำกว่าสภาพัฒน์ที่ให้ 2.0% กระทรวงการคลังที่ให้ 2.4% และธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้ 2.2% สำหรับปี 2025 InnovestX มองว่าจะเติบโตเพียง 1.4% ซึ่งแย่กว่าปี 2024 อีก
ไตรมาส 4 ของปี 2025 จะแย่กว่าไตรมาส 3/2025 มาก โดยอาจจะอยู่ในระดับต้นๆ ของศูนย์ ซึ่งต่ำกว่าที่รัฐบาลมองไว้ที่ 0.6-0.7% ปัจจัยที่ทำให้ปี 2025 ยากขึ้น ได้แก่ การส่งออกที่ชะลอลง ความผันผวนทางการเงิน การบริโภคและการลงทุนในประเทศที่ซึมเศร้า และสินค้าคงคลังที่หดตัว
เงินเฟ้อของไทยในปี 2025 คาดว่าจะติดลบประมาณ 0.1% และในปี 2025 อาจจะยังคงติดลบต่อเนื่องจนถึงกลางปี สถานการณ์นี้ทำให้เศรษฐกิจเสี่ยงต่อภาวะเงินฝืด (Deflation) ซึ่งเป็นภาพที่ซึมเศร้า
โครงการ Land Bridge เป็นหนึ่งในโครงการที่มีการพูดถึงและมีความเห็นแตกต่างกันมาก แม้จะเป็นโครงการที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ นอกจากนี้ ยังมีโครงการรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมจากกรุงเทพ-โคราช-หนองคาย ที่อยู่ในเฟส 2 และยังติดอยู่ในคณะรัฐมนตรี ทุกโครงการเหล่านี้สำคัญมาก แต่กระบวนการดำเนินการยังไม่ชัดเจนและติดขัดด้วยปัญหาต่างๆ หากไม่สามารถผลักดันโครงการเหล่านี้ได้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของไทยก็จะไปไม่ได้มากนัก

ในระยะยาว การปฏิรูปภาษีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คงจะต้องปรับขึ้นจาก 7% เป็น 10% อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นภาษีจะต้องทำหลังจากที่มีการเพิ่มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขึ้นก่อนเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้ด้วย เมื่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นแต่ GDP ก็เพิ่มขึ้นมากกว่า รายได้จากภาษีก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลง หลังจากนั้นจึงค่อยปรับขึ้นอัตราภาษี
ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 2.50% InnovestX คาดว่าควรจะลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง โดยลงในปลายปีนี้ 1 ครั้ง และในปีหน้าอีก 2 ครั้ง อย่างไรก็ตามนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยค่อนข้างตึงตัว การประสานนโยบายระหว่างผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยท่านใหม่กับรัฐบาลจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ผู้ว่าการธปท.ใหม่มาในทรงที่อยากช่วยเหลือเศรษฐกิจและสังคม แต่ DNA ของธนาคารกลาง คือ เสถียรภาพทางการเงินและความระมัดระวังต่อความเสี่ยง การประสานกันระหว่างสองฝ่ายนี้จึงค่อนข้างยาก
การเปิดเสรีการค้าผ่านข้อตกลง FTA และการเปิดรับแรงงานต่างชาติเป็นแนวทางสำคัญในการรับมือกับสังคมสูงวัย เวียดนามมี FTA มากกว่า 20 ฉบับและเป็นสมาชิกของเขตการค้าเสรีมากกว่า 10 แห่ง รวมถึง RCEP และ CPTPP ซึ่งไทยไม่ได้เป็นสมาชิก การเปิดเสรีจะช่วยให้ไทยสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ และดึงดูดการลงทุนได้มากขึ้น ขณะเดียวกันการเปิดรับแรงงานต่างชาติจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานจากสังคมสูงวัย
การลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นและทำให้การทำธุรกิจง่ายขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ หากไทยทำให้ Ease of Doing Business ดีขึ้น โดยสามารถตั้งโรงงานและดำเนินธุรกิจได้ง่าย จะช่วยลดโอกาสในการ Rent Seeking
การจำกัดใบอนุญาตและลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยใช้เกณฑ์ที่ชัดเจนว่าหากเข้าเกณฑ์ก็สามารถดำเนินการได้ จะช่วยลดโอกาสในการคอร์รัปชั่นและทำให้การลงทุนเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น
โครงการ Digital Wallet และคนละครึ่ง พลัส ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ แต่ไม่ใช่แนวทางที่ยั่งยืน โครงการเหล่านี้ช่วยให้การบริโภคระดับรากหญ้าดีขึ้น แต่การบริโภคในระดับซุปเปอร์มาร์เก็ตกลับแย่ลง เพราะคนใช้เงินจากโครงการซื้อของที่ร้านค้าขนาดเล็กแทนการซื้อของสดในซซุปเปอร์มาร์เก็ต นอกจากนี้สินค้าในกลุ่มเสื้อผ้าและสินค้าราคาแพงอย่างรถยนต์ยังคงขายได้ไม่ดี
โครงการเหล่านี้มีประโยชน์ในการช่วยเหลือประชาชนระยะสั้น แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แท้จริง การพึ่งพามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบประชานิยมต่อเนื่องโดยไม่มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะไม่สามารถยกระดับศักยภาพการเติบโตในระยะยาวได้
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญวิกฤตที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและครอบคลุม ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปัจจัยระยะสั้นเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน การเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและมาเลเซีย แสดงให้เห็นว่า ความสำเร็จมาจากการมีแผนงานที่ชัดเจน การปฏิรูปอย่างจริงจัง และการสร้างความต่อเนื่องทางนโยบาย
สิ่งที่ไทยต้องการ คือ การปฏิรูปในหลายมิติพร้อมกัน ทั้งนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างจริงจัง การลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น การเปิดเสรีการค้าและแรงงาน และการสร้างความโปร่งใสเพื่อลดการคอร์รัปชั่น หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง เศรษฐกิจไทยอาจจะติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางและไม่สามารถกลับมาเป็น “เสือตัวที่ 5 ของเอเชีย” ได้อีก
ความท้าทายใหญ่ที่สุด คือ การสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและความต่อเนื่องของนโยบาย การมีวิสัยทัศน์ระยะยาวและความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศอย่างจริงจังเป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าปี 2025 จะเป็นปีที่ยากลำบาก แต่หากทุกฝ่ายร่วมมือกันปฏิรูปและดำเนินการตามแนวทางที่ถูกต้อง ไทยยังมีโอกาสที่จะกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต
