
ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ออกมาดีเกินคาดอย่างน่าประหลาดใจ แม้ว่าสินเชื่อจะหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันแล้วก็ตาม คุณธนเดช รังษีธนานนท์ Head of Research จาก Pi Securities จากรายการ F1 Money ที่ชี้ว่าความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้มาจากรายได้ดอกเบี้ยซึ่งเป็นธุรกิจหลัก เนื่องจากดอกเบี้ยยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลงต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และสินเชื่อก็ไม่มีการเติบโต

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กำไรธนาคารพาณิชย์โดดเด่นเกินประเมินมาจากหลายแหล่ง ประการแรก คือ การลดลงของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ เนื่องจากธนาคารสามารถควบคุมหนี้เสีย (NPL) ได้ดี ทำให้ไม่ต้องตั้งสำรองเพิ่มเติมมากนัก ประการที่สอง คือ รายได้จากค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ Wealth Management ซึ่งได้รับประโยชน์จากราคาหุ้นในไตรมาส 2 ที่ปรับตัวลงมาต่ำมาก จากนั้นพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 3 ทั้งในตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ
ประการสุดท้ายที่มีนัยสำคัญ คือ กำไรจากเงินลงทุน ธนาคารต่างมีการลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นทุน เมื่อราคาตราสารหนี้สูงขึ้นจากดอกเบี้ยที่เป็นขาลง ธนาคารจึงสามารถขายทำกำไรได้ นอกจากนี้ ยังมีพอร์ตการลงทุนที่ยังไม่ได้ขายออกมา แต่เมื่อทำ Mark to Market แล้วก็มีกำไรเกิดขึ้น ทำให้ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 3 ของหุ้นแบงก์โดดเด่นกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
สินเชื่อลดลงแต่กำไรเพิ่ม เกมส์สำรองหนี้และการปรับค่าใช้จ่าย
สถานการณ์ที่สินเชื่อหดตัวมา 2 ไตรมาสติดต่อกันนั้น ดูน่าเป็นห่วงในแง่ที่ว่าสินเชื่อ คือ แหล่งรายได้หลักของธนาคาร อย่างไรก็ตาม คุณธนเดช มองว่า สถานการณ์ไม่ได้น่ากังวลมากนัก เพราะสิ่งที่น่ากังวลจริง คือ ถ้าสินเชื่อไม่เติบโต แต่หนี้เสียพุ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองหนี้สูง
ในรอบนี้แม้รายได้หลักจากสินเชื่อจะไม่ดีนัก แต่ธนาคารสามารถควบคุมหนี้เสียได้ดี จึงไม่ถูกกระทบจากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้มากนัก การที่สถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ ทำให้การคาดหวังการเติบโตของธนาคารในระยะกลางค่อนข้างยาก แต่ในระยะสั้นต้องเข้าใจว่า มีช่วงจังหวะของซีซันนัลและมีช่วงของความโชคดีเรื่องพอร์ตลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถคาดหวังได้ว่า พอร์ตลงทุนจะดีเช่นนี้ทุกไตรมาสหรือทุกปี ดังนั้น หากสินเชื่อไม่โตและ Margin ยังลงต่อเนื่อง กำไรของธนาคารอาจเติบโตได้อย่างไม่มีเสถียรภาพ เพราะต้องพึ่งพารายได้อื่นที่ไม่ใช่รายได้หลัก สิ่งที่ดี คือ หนี้เสียของธนาคารไม่ได้เพิ่มขึ้น จึงอาจคาดหวังได้ว่า แม้รายได้จะไม่เติบโต แต่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่ปรับตัวลดลงก็จะช่วยลดผลกระทบได้
นอกจากนี้ ธนาคารต่างมีการลงทุนในระบบ IT อย่างต่อเนื่อง แม้ไม่ได้เป็นการยกเครื่องทั้งหมด แต่ก็มีการปิดสาขาและพยายามลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ดังนั้น แม้รายได้อาจโตได้ยาก แต่ค่าใช้จ่ายที่ลดลงก็จะช่วยให้กำไรของธนาคารไม่ผันผวนมากจนเกินไป
ไตรมาสที่ 4 ถือเป็นไตรมาสที่กำไรของธนาคารจะอ่อนแอที่สุดในรอบปีซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล แต่เหตุผลสำคัญ คือ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมักจะพุ่งขึ้นในไตรมาสนี้ โดยเฉพาะค่าโบนัสพนักงานและค่าใช้จ่ายอื่นที่ธนาคารมองว่าจำเป็นต้องใช้ก็จะถูกตั้งไว้ในไตรมาสที่ 4
ขณะที่สินเชื่อคงโตได้ไม่มากนัก และ Margin ยังคงลดลงต่อเนื่อง เพราะดอกเบี้ยยังเป็นทิศทางขาลง ฝั่งรายได้จากดอกเบี้ย (NII) จึงไม่น่าจะเติบโต สำหรับไตรมาส 4 หากดูทิศทางของตลาดหุ้นไทยแล้วก็คงไม่ดีเท่าไตรมาส 3 เพราะช่วงไตรมาส 2 ถึง 3 หุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาเยอะมาก จากพันต้นพุ่งขึ้นมาพัน 3 แต่ไตรมาส 4 คาดว่าหุ้นไทยคงไม่ดีขนาดนั้น
สำหรับตลาดหุ้นโลกหลายตลาดก็ทำ All Time High ไปแล้ว จะคาดหวังให้ขึ้นต่อในอีกไตรมาสหนึ่งก็ยาก ทองคำเองซึ่งธนาคารก็มีการลงทุนบ้าง จะไปที่ 4000 หรือ 5000 ในไตรมาสหนึ่งก็ยาก นั่นหมายความว่ากำไรที่ช่วยธนาคารในไตรมาส 3 อาจไม่เกิดขึ้นในไตรมาส 4 จึงทำให้ไตรมาสนี้เป็นไตรมาสที่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น รายได้ดอกเบี้ยไม่โต และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยก็อาจไม่ค่อยดี
ปัจจัยประคับประคองและโอกาสที่ยังคงมี
แม้ไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่ท้าทาย แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกที่จะช่วยประคับประคอง นั่นคือ ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้จะลดลงได้ เพราะธนาคารควบคุมหนี้เสียได้ดี อย่างไรก็ตามคำถาม คือ การลดลงของสำรองหนี้นั้น เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงหรือไม่ คำตอบ คือ ไม่เพียงพอ
ดังนั้น ในไตรมาส 4 จะเป็นไตรมาสที่กำไรธนาคารจะอ่อนแอ และอาจจะแย่กว่าปีที่แล้วด้วย Catalyst ในการเทรดหุ้นแบงก์ในไตรมาสนี้ จึงอาจไม่ได้ตื่นเต้นหวือหวามาก เมื่อเข้าสู่ประมาณเดือนพฤศจิกายน หลังจากประกาศงบแล้ว หุ้นแบงก์อาจพักตัวบ้าง เพราะขึ้นมาค่อนข้างดีแล้ว และนักลงทุนอาจรอดูสถานการณ์มากขึ้นทั้งในต่างประเทศและในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ตามสถิติแล้ว หากไม่มีอะไรผิดปกติ ราคาหุ้นแบงก์จะย่อลงในเดือนพฤศจิกายน แล้วฟื้นตัวในเดือนธันวาคมและมกราคม นั่นหมายความว่า แม้เรื่องกำไรจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่เรื่องโมเมนตัมของราคาหุ้นก็สำคัญ หากปีหน้าสถานการณ์โดยรวมไม่ได้ยากจนเกินไป นักลงทุนก็อาจกลับเข้ามา และหุ้นแบงก์ก็จะเป็นหุ้นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะหากมองว่าหุ้นไทยไม่ได้แย่จนเกินไป
ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นทำให้ Dividend Yield ยังคงเป็นสิ่งที่นักลงทุนมองหา เพราะหุ้นกลุ่มแบงก์ยังจ่ายปันผลได้ค่อนข้างดี กำไรในไตรมาส 4 แม้จะไม่ดีนัก แต่ช่วงธันวาคมและมกราคม หากมี Momentum ความคืบหน้าเรื่องเศรษฐกิจ เช่นเรื่อง Trade War ของทรัมป์ หากมีการพูดคุยกันได้ ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยและซื้อหุ้นแบงก์ในช่วงเดือนธันวาคมและต่อเนื่องถึงเดือนมกราคม

เมื่อมองข้ามไปถึงปี 2569 คุณธนเดช ระบุว่า ความท้าทายจะมากขึ้น แม้จะไม่กล้าบอกว่า หุ้นแบงก์ไม่น่าสนใจ เพราะแม้แต่ในปีนี้เองก็ไม่ได้มองว่า ดีมาแต่แรก แต่ผลงานที่ออกมาก็เซอร์ไพรส์ โดยคาดว่าปีนี้กลุ่มแบงก์จะมีกำไรเติบโตประมาณ 4-5% จากเดิมที่คิดว่าจะไม่เติบโต
ปีหน้าความท้าทายจะมากขึ้นด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรก คือ เศรษฐกิจไทยในปีหน้าที่ทุกคนประเมินว่าอาจจะต่ำกว่าปีนี้ แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับประมาณการ GDP ขึ้นมาที่ 2% แต่ธนาคารพาณิชย์อื่นที่ประเมินก็มองว่าปีหน้า GDP ไทยจะต่ำกว่าปีนี้ต่อเนื่อง
ประการที่สอง คือ ดอกเบี้ยที่อาจจะลดลงได้อีก 1-2 ครั้ง เช่นในเดือนธันวาคมนี้ที่หลายคนคาดว่า ธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ย และอาจมีการลดอีกประมาณไตรมาสแรกของปีหน้า รอบดอกเบี้ยจึงยังไม่สิ้นสุด แต่น่าจะไปสิ้นสุดกลางปี เรื่องดอกเบี้ยจึงยังเป็นปัจจัยลบต่อผลการดำเนินงาน
คำถาม คือ ธนาคารจะทำอย่างไรเพื่อพยุงสถานการณ์ ย้อนกลับไปภาพเดิม ก็คือ ธนาคารจะต้องทำอย่างไรไม่ให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ มันจึงกลายเป็นเกมตัดค่าใช้จ่าย เพราะเกมสร้างรายได้บางทีทำยาก หากเศรษฐกิจไม่ดีและธนาคารบู๊หนักเกินไปก็อาจไปเจอปัญหาหนี้เสีย ดังนั้น วิธีการในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ คือ ลดค่าใช้จ่ายและลดสำรองหนี้ลงมา
หากโชคดีและตลาดหุ้นไม่ได้แย่มาก รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอาจจะดี แต่จะดีเหมือนปีนี้หรือไม่ก็ตอบยากมาก เพราะสัดส่วนของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยในปีนี้ถือว่า สูงมากจากเงินลงทุนและ Mark to Market Gain/Loss ปีหน้าหากตลาดหุ้นไทยสามารถกลับขึ้นไป 1,400 หรือ 1,500 จุด ได้ ก็มีลุ้นว่ากำไรของธนาคารอาจจะดีกว่าที่คาด แต่หากตลาดหุ้นยังไม่ไปไหนและมีความผันผวนมากขึ้นในปีหน้า รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยก็อาจจะไม่ได้ช่วยธนาคารมาก
จากการประเมิน กำไรของธนาคารในปีหน้าจะปรับตัวลดลงประมาณ 2% ดังนั้นเสน่ห์ของหุ้นแบงก์ในเชิงของ Growth Story จะน้อยลง แต่สิ่งที่ดี คือ ทุกธนาคารอาจจะพูดคล้ายกันว่าแม้กำไรจะไม่เติบโต แต่จะจ่ายปันผลต่อได้เหมือนเดิม กำไรไม่โต แต่ปันผลต่อหุ้นได้เหมือนเดิม
รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยกำลังกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่ช่วยพยุงผลประกอบการของธนาคารในยุคที่สินเชื่อไม่โตและดอกเบี้ยเป็นขาลง คุณธนเดช มองว่า ในระยะยาวธนาคารจะหันไปเน้นรายได้จากธุรกิจ Non-Interest มากขึ้น
เหตุผล คือ สินเชื่อไม่ค่อยโตและดอกเบี้ยยังไม่ใช่ขาขึ้น ยังคงเป็นขาลงและอาจจะไปถึงจุดต่ำสุดประมาณกลางปีหน้า รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจึงไม่โตแน่นอน ธนาคารจึงต้องหารายได้อื่นที่เกิดขึ้น เช่นอาจจะต้องไปเน้นการลงทุนในธุรกิจ Wealth Management
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจึงอาจจะเห็นธนาคารเปิดกองทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เพราะหุ้นในประเทศมีตัวเลือกจำกัด และต้องยอมรับว่าหุ้นต่างประเทศดีกว่าหุ้นไทย นั่นหมายความว่าธนาคารต้องไปหาวิธีการ Diversify การลงทุนและเปิดกองทุนมากขึ้น
ธนาคารเองก็อาจต้องเอาเงินสภาพคล่องที่มีอยู่ไปลงทุนสูงขึ้น แต่ด้วยโครงสร้างของธนาคารไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยก็อาจจะไม่ได้อยากให้ธนาคารไปลงทุนในบริษัทที่ไม่ใช่เกี่ยวกับสถาบันการเงิน มันจึงเป็นข้อจำกัดในการสร้างรายได้
หากตลาดทุนดีขึ้นและตราสารสินทรัพย์ต่างดีขึ้น ธนาคารก็อาจจะมีรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยดีขึ้นในปีหน้า แต่หากปีหน้าเกิดสถานการณ์พลิกผัน เกิดความขัดแย้งหรือสงครามการค้าที่รุนแรง ก็มีความเสี่ยง ดังนั้นจึงไม่ได้คาดหวังอะไรสูงมากจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย
ธนาคารเองก็รู้ว่าหากทำแต่เฉพาะธุรกิจในเมืองไทยหรือธุรกิจปล่อยสินเชื่อก็จะไม่ดี จึงคงพยายามเพิ่มรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่ด้วยแหล่งรายได้ตรงนี้อาจไม่ได้ไปได้ไกลมากเกินประเทศไทย ทำให้แม้รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ก็เป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก หากเป็นรายได้ดอกเบี้ยสุทธิก็ประมาณ 70% รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยก็ 30% สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอาจจะไม่ได้ทดแทนในส่วนที่รายได้หายไป
ปันผลกลายเป็นเสน่ห์หลักของหุ้นแบงก์ในยุคที่ Growth Story อ่อนแอลง ทุกธนาคารพยายามรักษาการจ่ายปันผลต่อหุ้นไว้ได้เท่าเดิม แม้กำไรจะไม่เติบโต นักลงทุนที่สนใจหุ้นปันผลและถือยาวจึงยังได้รับผลตอบแทนที่ดี
SCB เป็นหนึ่งในธนาคารที่โดดเด่นด้านปันผล โดยจ่ายปันผลได้สูงประมาณ 10 กว่าบาทต่อปี ทำให้ Dividend Yield เกิน 8% ถือว่าสูงมาก หากราคาหุ้นแบงก์ปรับตัวลงมา นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนดีขึ้นจาก Dividend Yield ที่สูงขึ้น
การซื้อหุ้นคืนก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณบวก เช่น KBank ที่มีโครงการซื้อหุ้นคืน แม้จะไม่ได้มากถึง 2% แต่ก็ส่งสัญญาณจากฝั่งคอร์ปอเรทว่าราคาหุ้นในตลาดอาจจะถูกเกินไป และทำให้ผู้ถือหุ้นสามารถแบ่งปันปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น
KTB ก็เป็นอีกหนึ่งธนาคารที่มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลและซื้อหุ้นคืน ทำให้มีโมเมนตัมและความน่าสนใจเพิ่มขึ้น ด้าน KKP แม้เป็นธนาคารขนาดเล็กกว่า แต่ก็จ่ายปันผลดีและมีการซื้อหุ้นคืนเช่นกัน
เมื่อดูที่ตลาดหุ้นไทยโดยรวม ต่างชาติขายสุทธิไปแล้วแสนล้านบาทในปีนี้ หากมองย้อนหลังไป 5 ปี จะมีเพียงปีเดียวเท่านั้นที่ต่างชาติซื้อสุทธิ ที่เหลือขายหมด ตั้งแต่ต้นปีทุกคนคิดว่าสถานการณ์น่าจะดี แต่กลายเป็นว่าตลาดหล่วงจากพัน 4 เหลือพันต้น และต่างชาติก็ยังขายสุทธิอยู่แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม คำถาม คือ ต่างชาติซื้อหุ้นแบงก์หรือไม่ คุณธนเดช มองว่า อาจจะเข้ามาซื้อหุ้นแบงก์ เหตุผล ก็คือ Bank Index เพิ่มขึ้นมา 5% และธนาคารอย่าง KBank, SCB, KKP มีราคาหุ้นบวกขึ้นมากว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงคิดว่าต่างชาติอาจไม่ได้ซื้อหุ้นแบงก์ทุกตัว แต่ซื้อหุ้นแบงก์บางตัว
สำหรับหุ้นแบงก์ขนาดเล็ก (Community Bank) นั้น คาดเดายากว่า ต่างชาติจะซื้อหรือไม่ เพราะราคาหุ้นก็เป็นขาลง หากราคาหุ้นแบงก์ที่ทำผลงานได้ดีอยู่แล้ว แม้ต่างชาติจะขาย แต่หากเขาจะซื้อ หุ้นแบงก์ก็เป็นหนึ่งในหุ้นที่ซื้อ โดยภาพตลาดต่างชาติก็ยังมองหุ้นไทยไม่ดี แต่หุ้นแบงก์อาจจะเป็นพิเศษตรงที่ว่าผลการดำเนินงานดีและเรื่องปันผลก็ดี
เงินลงทุนจากต่างชาติที่เข้าหุ้นแบงก์จึงเป็นการมองเชิงคุณภาพมากกว่าการมองภาพรวมตลาด และนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาก็มักเป็นนักลงทุนที่มองระยะกลางถึงระยะยาว มากกว่าการเทรดระยะสั้น โดยเฉพาะเมื่อ Dividend Yield สูงถึง 8% ในบางธนาคาร ก็เป็นผลตอบแทนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ

คุณธนเดชได้เลือกหุ้นแบงก์ที่น่าสนใจสำหรับปี 2569 โดยแบ่งตามขนาดของธนาคาร
สำหรับธนาคารขนาดใหญ่ หุ้นที่โดดเด่นที่สุด คือ SCB เพราะเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลได้สูง ประมาณ 10-11 บาทต่อปี ทำให้ Dividend Yield เกิน 8% ถือว่าสูงมาก รองลงมาในกลุ่มธนาคารใหญ่คือ KTB ที่ก็ถือว่าน่าสนใจเช่นกัน ทั้งสองธนาคารนี้มีพื้นฐานแข็งแกร่งและจ่ายปันผลดี
สำหรับธนาคารขนาดเล็ก หุ้นที่แนะนำ คือ KKP เพราะจ่ายปันผลดีและมีการซื้อหุ้นคืน ดังนั้นหากนักลงทุนไม่อยากกระจุกตัวที่หุ้นแบงก์ใหญ่จนเกินไป หรือแบงก์เล็กจนเกินไป ก็อาจเลือกแบงก์ใหญ่ตัวหนึ่งคือ SCB และแบงก์เล็กอีกตัวหนึ่งคือ KKP ก็ได้
สำหรับ KBank มีโมเมนตัมดีขึ้น กำไรดีและมีโครงการซื้อหุ้นคืน แม้การซื้อหุ้นคืนจะไม่ได้เยอะมาก แต่ก็ส่งสัญญาณจากคอร์ปอเรทว่าราคาหุ้นในตลาดอาจถูกเกินไป นอกจากนี้เงินกองทุนของ KBank ก็สูงมาก อาจมีโอกาสจ่ายปันผลพิเศษ และหากเรื่อง AMC สำเร็จก็จะเป็นผลดีต่อลูกหนี้ของ KBank
ราคาหุ้น KBank แทบจะชนราคาเป้าหมายไปแล้ว จึงแนะนำให้รอย่อตัวก่อนซื้อ และค่อยกลับเข้าไปดูอีกครั้ง เพราะมีหลายปัจจัยที่ต้องติดตามดู เช่นเรื่องดอกเบี้ยและเรื่อง AMC หากทำสำเร็จก็อาจเป็นผลดี ในอนาคตนักวิเคราะห์อาจมีการปรับประมาณการ Revaluation หรือปรับ Target Price มากขึ้น
BBL ถือว่าเป็นธนาคารที่คอนเซอร์เวทีฟที่สุด ไม่ค่อยมีท่ายากและคงไม่ทำโครงการซื้อหุ้นคืน เพราะ BBL ยึดมั่นว่าจะไม่ซื้อหุ้นคืน มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการเงินกองทุนน้อยกว่าเพื่อน เป็นหุ้นแบงก์ใหญ่ที่จ่ายปันผลต่ำที่สุด และผลกระทบจากดอกเบี้ยขาลงก็กระทบเหมือนเพื่อน
BBL จึงขาดเสน่ห์ในเชิงการบริหารจัดการเงินกองทุนและปันผล พื้นฐานโอเค แต่เสน่ห์ที่เทียบกับเพื่อนอาจขาดสีสันในการลงทุน คำแนะนำจึงเป็น “ถือ”
TTB โดยรวมกลางกลาง ไม่ได้โดดเด่นมาก แต่เคยมีช่วงที่โดดเด่นมาก เช่นตอนที่ซื้อหุ้นคืนและตอนที่มีโครงการ Incentive ที่สามารถเอาภาษีมาชดเชยเป็นรายได้ ทำให้กำไรโดดเด่น แต่พอผ่านไปปีหนึ่งเรื่องภาษีและการซื้อหุ้นคืนก็ไม่ได้เป็นอะไรที่พิเศษอีกต่อไป
งบการเงินหลังจากนั้นก็ธรรมดา ไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้เด่นเหนือเพื่อน ในช่วงไตรมาส 3 ธนาคารอย่าง KTB, BBL, KBank ประกาศงบดี หุ้นก็วิ่ง แต่ TTB ก็แค่กลางกลาง ปีหน้า TTB จะกลับมาซื้อหุ้นคืนอีก อาจทำให้น่าสนใจ แต่ประเด็นของ TTB กลายเป็นประเด็นปี 2570 เพราะ Deferred Tax Asset (DTA) ที่เป็นประโยชน์ต่อ TTB จะหมดในปี 2570 หากไม่มีรายได้เพิ่มหรือค่าใช้จ่ายลดลง กำไรในปี 2570 อาจปรับตัวลดลงเป็น Double Digit มุมมองต่อ TTB จึงกลางกลาง ไม่ได้แย่ แต่มีคนที่เด่นกว่า
การวางกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นแบงก์ต้องคำนึงถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจในปีหน้า คุณธนเดชให้คำแนะนำดังนี้
การกระจายความเสี่ยง (Diversification) เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก แม้หุ้นแบงก์จะประกาศงบดี แต่ก็ไม่ควรลงทุนมากเกินไป (Over Investment) ในหุ้นธนาคาร สัดส่วนที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 20% ของพอร์ตโฟลิโอ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
การเลือกหุ้นที่จ่ายปันผลสูง เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ เพราะปีหน้ากำไรของธนาคารอาจไม่เติบโต ทำให้ขาดเสน่ห์ในเรื่อง Growth Story หุ้นปันผลจึงทำให้หุ้นนั้นมีความโดดเด่น SCB ยังคงมีความโดดเด่นด้านปันผลที่ชัดเจน
สำหรับนักลงทุนระยะยาว ที่ถือหุ้นเพื่อรับปันผล หากราคาหุ้นแบงก์ปรับตัวลงมาก็อาจไม่ต้องตกใจมากเกินไป เพราะธนาคารพยายามรักษาการจ่ายปันผลต่อหุ้นเท่าเดิม หากราคาหุ้นแบงก์ปรับตัวลง นักลงทุนกลับได้ผลตอบแทนดีขึ้นจาก Dividend Yield ที่สูงขึ้น
การทำ DCA (Dollar Cost Averaging) เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะกลางที่ลงทุนหุ้นแบงก์และคาดหวังผลตอบแทนจากเงินปันผล หากมองว่าราคาหุ้นปัจจุบันสูง ก็ทยอยซื้อแบบ DCA ได้ ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของแต่ละคน
สำหรับนักลงทุนสายเทรด หรือ Momentum Trading ต้องมีการตั้ง Stop Loss ตามแนวรับแนวต้านของแต่ละช่วง ซึ่งขึ้นอยู่กับเทคนิคการวิเคราะห์ของแต่ละคน
การรอจังหวะซื้อ โดยตามสถิติเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงที่หุ้นแบงก์มักจะย่อตัว จึงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ โดยเฉพาะเมื่อหุ้นแบงก์ปรับขึ้นมาค่อนข้างดีแล้ว การย่อตัวในเดือนพฤศจิกายนจึงเป็นจังหวะที่ดีในการกลับเข้าซื้อ ประมาณเดือนธันวาคมและต่อเนื่องถึงเดือนมกราคม หากโชคดีต่างชาติกลับเข้ามาซื้อก็จะเกิด January Effect หุ้นแบงก์ก็ยังมีโมเมนตัม
การเลือกหุ้นตามขนาดธนาคาร หากต้องการ Diversify จากหุ้นใหญ่ไปเป็นหุ้นเล็ก ก็เลือกระหว่าง SCB และ KKP แต่หากต้องการเพียงตัวเดียวในหุ้นแบงก์ใหญ่ ก็แนะนำ KTB
อย่างไรก็ตาม หากมีหุ้นตัวไหนมี Valuation น่าสนใจหรือมี Story ที่น่าสนใจในอนาคต ก็ค่อยมาสลับหุ้นอีกครั้งได้ สรุปคือหลังจากไตรมาส 3 เดือนพฤศจิกายนเป็นสถิติที่หุ้นจะลง ให้รอย่อตัวก่อนซื้อ แล้วซื้อ SCB หรือ KKP ก็เป็นทางเลือกที่ไม่กระจุกตัวในหุ้นแบงก์ใหญ่จนเกินไป แต่หากจะเลือกอีกตัวหนึ่งก็แนะนำ KTB
หุ้นแบงก์ขนาดเล็กอย่าง KKP และ TTB มีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่สูง สถานการณ์ปัจจุบันของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อผลประกอบการ
คุณธนเดชระบุว่าสินเชื่อกลุ่มนี้ยังไม่ได้ดีเหมือนเดิม สินเชื่อยังไม่ได้โตมาก อาจเป็นลบหรือบวกก็ไม่มาก แต่ข้อดีของปีนี้ คือ หนี้เสีย (NPL) ไม่เพิ่มขึ้น ทรงตัวหรือลดลง เพราะธนาคารไม่ค่อยได้ปล่อยสินเชื่อใหม่มากนัก จึงทำให้ปิดความเสี่ยง
ราคารถมือสองยังไม่ขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดิ่งลงเหมือนช่วงที่แย่มาก ช่วงที่แย่ที่สุดราคารถมือสองปรับตัวลงเร็วมาก ตอนนี้ราคารถมือสองยังไม่ได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ปรับตัวลง หรือบางช่วงก็เสถียร เพราะมาตรการของรัฐบาลต่างๆ ทำให้คนที่เป็นเจ้าของรถยังยื้อต่อได้ ยังไม่ต้องขาย
สถานการณ์ปัจจุบันเรื่องราคารถมือสองและหนี้เสียจึงเริ่มนิ่ง อย่างที่บอกว่าปีหน้ายังเป็นปีที่ท้าทาย เพราะปีหน้าเป็นปีที่คนที่เข้าโครงการ “คนสู้เราช่วย” จะต้องกลับมาจ่ายเงินต้นเพิ่มขึ้น มันจึงเป็นความเสี่ยงว่าหากเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว คนที่ต้องมาจ่ายเงินต้นสูงขึ้นจากเดิมจ่าย 100 หรือ 50 ปีนี้จ่ายได้ดีขึ้น แต่พอปีหน้าไปอยู่ที่ 70 จะเป็นอย่างไรก็ตอบยากเหมือนกัน
ตอนนี้ความเสี่ยงของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ถือว่าทรงตัว แต่ยังไม่ได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้แย่ลง นักลงทุนที่สนใจหุ้นแบงก์เล็กจึงต้องติดตามสถานการณ์สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และราคารถมือสองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในปีหน้าที่ผู้กู้ในโครงการ “คนสู้เราช่วย” จะต้องกลับมาจ่ายเงินต้นเต็มจำนวน

ภาพรวมหุ้นแบงก์ในไตรมาส 4 และปี 2569 มีทั้งโอกาสและความท้าทาย นักลงทุนต้องเข้าใจว่าปีหน้าคาดเดายาก แม้ในปีนี้เองก็ไม่ได้มองว่าดี แต่ผลงานก็ออกมาเซอร์ไพรส์ ด้วยการเติบโตของกำไรประมาณ 4-5%
สิ่งสำคัญ คือ การกระจายความเสี่ยงโดยไม่ลงทุนในหุ้นแบงก์เกิน 20% ของพอร์ต การเลือกหุ้นที่จ่ายปันผลสูง และการรอจังหวะที่เหมาะสม โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายนที่หุ้นแบงก์มักจะย่อตัวตามสถิติ
หุ้นที่แนะนำ คือ SCB สำหรับธนาคารใหญ่ที่มีปันผลสูงสุด KTB สำหรับธนาคารใหญ่ที่มีพื้นฐานดี และ KKP สำหรับธนาคารเล็กที่จ่ายปันผลดีและมีการซื้อหุ้นคืน การผสมผสานระหว่างธนาคารใหญ่และเล็กช่วยให้พอร์ตมีความสมดุล
สำหรับนักลงทุนแต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็นสายถือยาวเพื่อปันผล สายเทรด หรือสายลงทุนระยะกลาง ต่างก็มีกลยุทธ์ที่เหมาะสมแตกต่างกันไป สิ่งสำคัญคือการเข้าใจความเสี่ยงและโอกาส และเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวเอง
สรุป
แม้ปีหน้าจะมีความท้าทาย แต่หากสถานการณ์ไม่แย่จนเกินไปและธนาคารสามารถบริหารจัดการได้ดี หุ้นแบงก์ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนจากเงินปันผลและความมั่นคงในระยะยาว การติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ ดอกเบี้ย และนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา
ตารางเปรียบเทียบกลยุทธ์ลงทุน 5 แบบหลัก
| ประเภทกลยุทธ์ | Long-Term Holding | DCA (Dollar Cost Averaging) | Swing Trading | Momentum Trading | Value Investing |
| ระยะเวลา | 5+ ปี | 12-24 เดือน | 2-4 เดือน | 1-6 เดือน | 3-10 ปี |
| ผู้เล่นที่เหมาะ | ผู้ถือหุ้นระยะยาว ต้องการปันผล | ผู้ออมที่ไม่มั่นใจราคา | ผู้ที่ติดตามตลาด | นักเทรดระยะสั้น | นักวิเคราะห์ fundamental |
| จำนวนเงินลงทุน | 500,000+ | 50,000-100,000/ครั้ง | 200,000-500,000 | 100,000-300,000 | 300,000+ |
| ความเสี่ยง | ต่ำ | ปานกลาง | ปานกลาง-สูง | สูง | ปานกลาง |
| ผลตอบแทนคาด | 5-8%/ปี (ปันผล) | 8-12%/ปี | 10-20%/รอบ | 15-30%/รอบ | 15-25%/ปี |
| Stop Loss | ไม่มี | ไม่มี | 5-7% | 3-5% | ไม่มี |
| Top Pick | SCB, KTB | SCB, KKP | KTB | KTB (หลัก) | SCB (Dividend) |
| ข้อดี | – ผลตอบแทนคงที่– ปันผลสูง – ผลกระทบเสีย | – ลดความเสี่ยง – ค่อยๆ ซื้อ – จิตใจสบาย |
|
|
|
| ข้อเสีย | – ผลตอบแทนต่ำ– ต้องถือนาน – อดทน | – เลือกราคาสุ่ม – ได้สต็อปต่าง |
|
|
|
| ตำแหน่ง | Size Position | Entry Strategy | Target Exit | Hold Period | Risk Management | หุ้นเลือก |
| Core Position (หลัก) | 50-60% | ลงทุนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน | ถือตลอด / ขายบ้าง > 15% | Unlimited | Dividend reinvest | SCB, KTB |
| Satellite Position (ดาวเทียม) | 20-30% | ทยอยลงทุนตามจังหวะ | ลดครึ่งเมื่อ +10-15% | 2-4 เดือน | ขายบางส่วน | KTB, KKP |
| Opportunistic (ตามจังหวะ) | 10-20% | รอจังหวะดีๆ (ต่ำ) | ขายเมื่อบรรลุเป้า | 1-3 เดือน | Stop loss 5-7% | KTB (ถ้ามี momentum) |
| Cash Reserve (เงินสำรอง) | 10% | ไม่ลงทุน | พร้อมใช้งาน | N/A | Reserved for opportunity | เงินสด |
ตารางสรุป: Entry Points – จังหวะเข้าซื้อตามสถานการณ์
ตารางสรุป: Entry Points – จังหวะเข้าซื้อตามสถานการณ์
ตารางสรุป Exit Strategy – เมื่อไหร่ขาย
ตารางสรุป Portfolio Composition – การจัดองค์ประกอบพอร์ต
ตารางสรุป Timing Strategy – ฤดูกาลที่เหมาะ
ตารางสรุป Risk Management Matrix – การจัดการความเสี่ยง
ตารางสรุป Scenario Planning – วางแผนรับสถานการณ์ต่างๆ
อ้างอิง F1 Money ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “Community สังคมแห่งการลงทุน” เพื่อ เชื่อมต่อ พูดคุย แลกเปลี่ยน ไอเดียการลงทุน มาร่วมสร้างเครือข่ายนักลงทุนให้เติบโตไปด้วยกัน เข้าร่วมกับเรา: efinancethaiconnect แท็กที่เกี่ยวข้องล่าสุดยอดนิยม |