
ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนหลายท่านอาจเริ่มสัมผัสได้ถึงแรงกระเพื่อมในตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งอาจสร้างความกังวลใจอยู่ไม่น้อย ตัวเลขการปรับฐานของตลาดหุ้นสำคัญอย่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นที่ย่อตัวลงไปถึง 4% หรือแม้แต่ดัชนีกลุ่มเทคโนโลยีอย่าง Nasdaq ของสหรัฐฯ ที่ปรับลดลง 2% อาจดูเหมือนเป็นสัญญาณลบในแวบแรก

อย่างไรก็ตาม หากเราวิเคราะห์สถานการณ์ให้ลึกลงไป สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้อาจไม่ใช่สัญญาณของ “วิกฤต” ที่น่าตระหนก แต่เป็นเพียงปรากฏการณ์ “การหมุนเวียนกลุ่มการลงทุน” (Sector Rotation) ตามวัฏจักรปกติของตลาดทุน เมื่อสินทรัพย์กลุ่มเดิมที่เคยร้อนแรงเริ่มมีมูลค่าตึงตัว เม็ดเงินย่อมไหลออกไปแสวงหาโอกาสใหม่ในสินทรัพย์ที่ราคายังสมเหตุสมผลและมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ
บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจทิศทางการไหลของเงินทุนรอบใหม่ กับ ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ Head of Investment Strategy & Head of Trading Product Specialist บล.InnovestX (บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX) พร้อมกลยุทธ์การปรับพอร์ตโฟลิโอที่ชาญฉลาดเพื่อเปลี่ยนความผันผวนให้เป็นโอกาส ที่ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ F1 Money
ดร.รัฐศรัณย์ เล่าว่า แม้ว่าท่าทีล่าสุดจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในการประชุม FOMC วันที่ 29 ตุลาคม 2025 มีสัญญาณ Hawkish โดยประธาน Powell ระบุว่า ‘การลดดอกเบี้ยในธันวาคม ยังไม่แน่นอน แม้ Fed ได้ลด 0.25% และยังคงพิจารณาตัดสินใจอย่างระมัดระวัง เนื่องจากตลาดแรงงานยังอ่อนแอ แต่เงินเฟ้อใกล้เป้าหมาย 2% และสร้างความกังวลระยะสั้นให้กับตลาด แต่ในความเป็นจริง การที่เฟดยังคงดอกเบี้ยไว้อาจสะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งเพียงพอโดยไม่ต้องพึ่งพาการกระตุ้นเพิ่มเติม
หลักฐานความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจ : สิ่งที่ยืนยันมุมมองนี้ได้ดีที่สุดคือผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนภาพความเป็นจริงที่แข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก
การกลับมาของกลุ่ม Healthcare และโอกาสในหุ้นจีน
เมื่อเม็ดเงินเริ่มไหลออกจากกลุ่มเทคโนโลยีที่ราคาขึ้นไปสูง เราเริ่มเห็นการหมุนเข้าสู่กลุ่มที่ Laggard (ราคายังขึ้นน้อยกว่าตลาด) แต่มีพื้นฐานดี
ดร.รัฐศรัณย์ ระบุว่า ในอดีต “ทองคำ” มักถูกมองเป็นเพียงสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่นักลงทุนเลือกใช้พักเงินชั่วคราวในช่วงที่ตลาดเกิดความผันผวนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันได้บ่งชี้ให้เห็นว่า บทบาทของทองคำในตลาดโลกกำลังถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ไม่ใช่เพียงแค่ที่พักเงินระยะสั้นอีกต่อไป แต่กำลังเผชิญกับ “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” (Structural Change) ครั้งสำคัญ ที่จะทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์หลักในการถือครองระยะยาว
หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนี้ คือ การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำถึง 48.86% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นที่แข็งแกร่งแม้ในสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ ไม่ได้มาจากแรงเก็งกำไรรายย่อยเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการดำเนินนโยบายของ ธนาคารกลาง ทั่วโลก ที่ได้ทยอยเข้าสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ วัตถุประสงค์หลัก คือ การกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (De-dollarization) ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การลงทุนในระดับมหภาคที่ส่งผลต่อเสถียรภาพของราคาทองคำในระยะยาว
ในมุมมองด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้ประเมินสถานการณ์ในระยะสั้นถึงระยะกลางไว้ว่า ในช่วง 2 ถึง 3 เดือนข้างหน้านี้ ราคาทองคำอาจเข้าสู่ภาวะ “พักตัวเพื่อสร้างฐาน” (Consolidation) ซึ่งถือเป็นกลไกปกติของสินทรัพย์ที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น เพื่อลดความร้อนแรงและสร้างฐานราคาใหม่ที่มั่นคงก่อนที่จะปรับตัวขึ้นต่อ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในสภาวะเช่นนี้ มองว่า การพักตัวของราคาถือเป็นโอกาสอันดีในการเข้าสะสม โดยประเมินกรอบราคาที่น่าสนใจสำหรับการเข้าซื้อรอบใหม่ไว้ที่บริเวณ 3,200 เหรียญสหรัฐฯ และได้วางเป้าหมายการทำกำไรในระยะกลางถึงยาวไว้ที่ระดับ 3,950 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองเชิงบวกอย่างมากต่อศักยภาพการเติบโตของราคาทองคำในอนาคต

ดร.รัฐศรัณย์ ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “Dashboard” หรือหน้าปัดแสดงสัญญาณเตือนภัยทางการเงินที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเน้นย้ำไปที่ 3 ตัวชี้วัดหลักทางเศรษฐศาสตร์มหภาค ซึ่งเปรียบเสมือนชีพจรที่จะคอยบ่งบอกสุขภาพของตลาดทุนในขณะนั้น ดังนี้
1. มาตรวัดความกลัวของตลาด (VIX Index)
ดัชนี VIX หรือที่มักเรียกกันว่า “ดัชนีความกลัว” (Fear Index) เป็นเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนความผันผวนและอารมณ์ของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
2. พละกำลังของค่าเงินดอลลาร์ (Dollar Index)
ดัชนีค่าเงินดอลลาร์เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)
3. สัญญาณจากตลาดตราสารหนี้ (Yield Curve & Spreads)
ตลาดตราสารหนี้มักเป็นแหล่งข้อมูลที่ส่งสัญญาณเตือนภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้แม่นยำที่สุดแหล่งหนึ่ง ผ่านส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร
ดร. รัฐศรัณย์ แสดงให้เห็นว่า แม้ตลาดจะมีความท้าทายเฉพาะหน้า แต่โครงสร้างหลักยังคงมีเสถียรภาพพอสมควร ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญให้นักลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจปรับพอร์ตได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
ในภาวะที่ตลาดการเงินโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ดร.รัฐศรัณย์ ได้นำเสนอแนวทางการบริหารจัดการเงินลงทุนที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนสถาบัน นั่นคือกลยุทธ์แบบ “Core & Satellite” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างความมั่นคงและการแสวงหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มเข้าด้วยกันอย่างลงตัว โดยแบ่งพอร์ตโฟลิโอออกเป็น 2 ส่วนหลัก ดังนี้
Core Portfolio รากฐานที่มั่นคง (70-80%)
หัวใจสำคัญของการลงทุนระยะยาวคือการรักษาเงินต้นให้ปลอดภัยพร้อมกับสร้างการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ดร. รัฐศรัณย์ แนะนำให้จัดสรรเงินลงทุนส่วนใหญ่ประมาณ 70-80% ของพอร์ตทั้งหมด ไว้ในส่วนที่เรียกว่า “Core Portfolio”
Satellite Portfolio ดาวเทียมแสวงหาโอกาส (20-30%)
เพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีความยืดหยุ่นและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ดร. รัฐศรัณย์ แนะนำให้แบ่งเงินส่วนที่เหลือประมาณ 20-30 % มาไว้ในส่วน “Satellite Portfolio”
สำหรับการประยุกต์ใช้กลยุทธ์ 70 : 30 ตามคำแนะนำของ ดร.รัฐศรัณย์ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถรักษาสมดุลระหว่างการปกป้องเงินต้นในระยะยาว และไม่พลาดโอกาสในการทำกำไรจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกในระยะสั้น ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการอยู่รอดและเติบโตในทุกสภาวะตลาด

จากสถานการณ์ความผันผวนในตลาดทุนโลกปัจจุบัน ข้อมูลเชิงลึกบ่งชี้ว่านี่มิใช่สัญญาณของวิกฤตเศรษฐกิจที่น่าตระหนก แต่เป็นเพียงวัฏจักรปกติของการ “หมุนเวียนกลุ่มการลงทุน” (Sector Rotation) ที่เม็ดเงินกำลังเคลื่อนย้ายจากสินทรัพย์ที่ราคาสูงตึงตัว เข้าสู่กลุ่มที่มีมูลค่าสมเหตุสมผลและมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ สำหรับนักลงทุนไทย การทำความเข้าใจความเป็นจริงที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน
แนวโน้มความเป็นจริงที่นักลงทุนไทยต้องเผชิญ
สำหรับโอกาสในการลงทุนกำลังกระจายตัวออกไปมากกว่าการกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งจากผลประกอบการที่ดีเกินคาด เม็ดเงินลงทุนเริ่มหมุนเวียนเข้าสู่ภาคส่วนอื่นที่มีศักยภาพ หรือที่เรียกว่า Laggard โดยเฉพาะ กลุ่ม Healthcare ที่เริ่มกลับมาสร้างผลตอบแทนโดดเด่นและมีระดับราคาที่ไม่แพงจนเกินไป รวมถึง หุ้นเทคโนโลยีจีน ที่การปรับฐานลงมากว่า 10% ถือเป็นจังหวะที่น่าสนใจสำหรับการทยอยสะสมเพื่อรอรับการเติบโตจากนวัตกรรมในอนาคต
ด้านทองคำ ได้ยกระดับจากสินทรัพย์ปลอดภัยชั่วคราวสู่สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ระยะยาว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ธนาคารกลางทั่วโลกต่างเข้าสะสมเพื่อกระจายความเสี่ยงจากเงินดอลลาร์ แม้ในระยะสั้นอาจมีการพักตัวเพื่อสร้างฐาน แต่แนวโน้มระยะยาวยังคงเป็นขาขึ้น
ในขณะเดียวกัน ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนไทยต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือ ความแข็งแกร่งของค่าเงินดอลลาร์ หากดัชนีดอลลาร์ยังคงยืนเหนือระดับ 100 ต่อไป อาจเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้กระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่รวมถึงตลาดหุ้นไทยได้ จึงจำเป็นต้องติดตามมาตรวัดความเสี่ยงต่าง ๆ ทั้ง VIX Index และทิศทาง Yield Curve อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินสถานการณ์
สรุปกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน
โดยสรุป : แนวทางที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงสำหรับนักลงทุนไทยในขณะนี้ คือการนำ “กลยุทธ์การจัดพอร์ตโฟลิโอแบบ Core & Satellite” มาประยุกต์ใช้ โดยเน้นการสร้างรากฐานที่มั่นคง (Core Portfolio 70-80%) ในสินทรัพย์กระจายความเสี่ยงทั่วโลกและทองคำ และใช้ส่วนที่เหลือ (Satellite Portfolio 20-30%) ในการจับจังหวะทำกำไรระยะสั้นจากธีมที่กำลังมาแรง การรักษาวินัยตามกลยุทธ์นี้จะเป็นเกราะป้องกันความผันผวนที่ดีที่สุด พร้อมเปิดโอกาสให้พอร์ตการลงทุนเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาวตารางสรุป กลยุทธ์จัดพอร์ต 70:30 เพื่อความยั่งยืน
| ส่วนของพอร์ต | สัดส่วน | วัตถุประสงค์ | สินทรัพย์/กลุ่มการลงทุน | ระยะเวลา | ลักษณะเฉพาะ |
| Core Portfolio | 70-80% | รักษาเงินต้นและเติบโตสม่ำเสมอ | ดัชนีหุ้นโลก (MSCI World) | ระยะยาว | ความเสี่ยงต่ำ, ผลตอบแทนเสถียร |
| Core Portfolio | 70-80% | การกระจายความเสี่ยงทั่วโลก | Global Enhance Funds (Passive + Active) | ระยะยาว | ผสมผสานการลงทุนแบบ Passive และ Active |
| Core Portfolio | 70-80% | Structural Change – ลดการพึ่งพาดอลลาร์ | ทองคำ (บทบาทใหม่) | ระยะยาว | ธนาคารกลางซื้อ, Entry: $3,200, Target: $3,950 |
| Satellite Portfolio | 20-30% | สร้าง Alpha + ทำกำไรระยะสั้น-กลาง | หุ้นเทคโนโลยีจีน | ระยะสั้น-กลาง | ปรับลด 10% จากจุดสูง (+49.5%), จังหวะสะสม |
| Satellite Portfolio | 20-30% | Sector Rotation – Healthcare | บริษัท Healthcare ชั้นนำ | ระยะสั้น-กลาง | Outperform โดดเด่น, 90% รายงาน กำไรขึ้ัน |
| Satellite Portfolio | 20-30% | ธีมอนาคต – AI & Innovation | Kingsoft, SenseTime | ระยะสั้น-กลาง | ผู้นำ AI, R&D มาก, Valuation ดี |
| Satellite Portfolio | 20-30% | ธีมอนาคต – Robotics & EV | Zeekr, UBTECH | ระยะสั้น-กลาง | นวัตกรรมขั้นสูง, ศักยภาพแข่งขันโลก |
| Satellite Portfolio | 20-30% | ธีมอนาคต – Semiconductor | Tokyo Electron, Advantest | ระยะสั้น-กลาง | องค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยี |
| Satellite Portfolio | 20-30% | ธีมอนาคต – Technology Giants | SoftBank, Horizon | ระยะสั้น-กลาง | ตัวเลือกระดับโลก |
ที่มา F1 Money
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Community สังคมแห่งการลงทุน เพื่อ เชื่อมต่อ พูดคุย แลกเปลี่ยน ไอเดียการลงทุน มาร่วมสร้างเครือข่ายนักลงทุนให้เติบโตไปด้วยกัน เข้าร่วมกับเรา: efinancethaiconnect