
แผ่นดินไทยจะอบอวลด้วยกลิ่นดอกมะลิ ไม่ใช่เพียงกลิ่นแห่งความรักของลูกที่มีต่อแม่ แต่ยังเป็นกลิ่นแห่ง “ความกตัญญู” ที่ประชาชนไทยทั้งชาติถวายแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง “แม่แห่งแผ่นดินสยาม” ผู้ทรงเพียรสร้างรากฐานของชีวิต ความหวัง และศักดิ์ศรี ให้กับราษฎรทั่วทุกถิ่นไทย

ถ้อยแถลงของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต โดยมีใจความสำคัญว่า
พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่าน วันที่ 24 ตุลาคม 2568 เป็นวันที่ปวงชนชาวไทย ไม่ปรารถนาให้มาถึงเพราะเป็นวันที่สร้างความโทมนัส ไและความสูญเสียอันยิ่งใหญ่มายังพสกนิกรชาวไทยทุกคน เมื่อได้ทราบจากแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จสวรรคต ด้วยพระอาการสงบ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สิริพระชนมพรรษา 93 พรรษา
ในเวลานี้ มีแต่เสียงสะอื้นไห้ดังก้องอยู่ในหัวใจของปวงชนชาวไทยทั่วทั้งแผ่นดิน ดวงใจของพสกนิกรถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความโศกเศร้า ความอาดูรที่ไม่อาจหาคำใดมาทดแทนได้
“เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นทั้งแรงบันดาลใจ ความรัก และความเมตตาอันเป็นนิรันดร์ การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ถือได้ว่าเป็นการสูญเสีย “แม่ผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินไทย” ที่ประชาชนทุกคนต่างรักและเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม”
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นมิ่งขวัญ เป็นที่เทิดทูนสักการะของปวงชนชาวไทย ทั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีของพระมหากษัตริย์ที่สุดแสนประเสิรฐ เป็นหลักชัยของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า สมดั่งพระราชอิสริยยศที่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ ทั้งด้านศิลปาชีพ ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ด้านการสาธารณสุข ล้วนก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่พสกนิกรทุกหมู่เหล่า ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีของราชอาณาจักรไทยที่เป็นความภาคภูมิใจของพสกนิกรชาวไทย และเป็นที่ยอมรับ ชื่นชมในพระปรีชาสามารถจากนานาอารยประเทศ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงเป็น แม่แห่งแผ่นดินสยาม พระมารดาแห่งความงดงาม ผู้ทรงเพียรสร้างรากฐานของชีวิต ความหวัง และศักดิ์ศรี ให้กับราษฎรทั่วทุกถิ่นไทย ให้เกิดความอุดม และยั่งยืน



พระองค์ทรงเป็นมากกว่าสัญลักษณ์ของความอ่อนโยน หากแต่คือพลังแห่ง “การลงมือทำ” ที่ไม่สิ้นสุด ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระองค์ทรงเคียงข้างพระราชสวามีอย่างมั่นคง เสด็จเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ
ด้วยพระราชดำริว่า
“หากประชาชนไม่มีอาชีพ เขาก็อยู่ไม่ได้”
จากคำเรียบง่ายนั้น กลายเป็นรากฐานของ “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ก่อนที่คำว่า “Sustainability” หรือความยั่งยืน แห่งโลกตะวันตกกำหนดมาตรฐาน
พระองค์ทรงมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง “คน” และ “ผืนดิน” ระหว่าง “ศิลปะ” และ “ชีวิต”
และระหว่าง “ความงาม” กับ “ความอยู่รอด” ในรอยพระบาทที่เสด็จเยี่ยมราษฎรทั่วประเทศ
ทุกพื้นที่ที่พระองค์เสด็จฯ ไปถึง จะเกิด “แสงแห่งการเปลี่ยนแปลง” จากหมู่บ้านเล็ก ๆ ในป่าดงพญาเย็น ถึงชายแดนใต้ปลายด้ามขวาน พระองค์ทรงฟื้นชีวิต ฟื้นศักดิ์ศรี และปลูกความหวังให้แผ่นดินไทย
พระองค์ทรงมองเห็นว่า “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” คือขุมทรัพย์ของชาติ ทรงฟื้นฟูหัตถศิลป์ไทย ตั้งแต่ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าทอพื้นบ้าน และงานจักสาน ดอกไม้ประดิษฐ์ เครื่องเงิน เครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ โดยจัดตั้ง “ศูนย์ศิลปาชีพ” ขึ้นทั่วประเทศ เพื่อให้ชาวบ้าน โดยเฉพาะสตรีในชนบท มีงาน มีรายได้ และมีศักดิ์ศรีในชีวิต
ศูนย์ศิลปาชีพมิใช่เพียงแหล่งผลิตงานหัตถกรรม แต่เป็น “ห้องเรียนชีวิต” ที่สอนให้ผู้คนรู้จักคุณค่าของแรงมือ สอนให้เยาวชนรู้ว่าความงามแท้ของไทยนั้นอยู่ในใจและใจ
พระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า
“งานศิลปาชีพ คือความภาคภูมิใจของแผ่นดินไทย เป็นงานที่คนไทยทำเพื่อแผ่นดินไทย ด้วยหัวใจที่รักชาติ”
โครงการหลวง (Royal Project)กำเนิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 โดยมีพระพันปีหลวงทรงร่วมผลักดันอย่างใกล้ชิด มุ่งแก้ปัญหาความยากจนและการปลูกฝิ่นในพื้นที่สูง เปลี่ยนภูเขาหัวโล้นให้กลายเป็น “แหล่งปลูกผัก ผลไม้ และดอกไม้เมืองหนาว” สร้างรายได้ให้ชาวเขา และอนุรักษ์ป่าต้นน้ำไปพร้อมกัน
พระองค์ทรงเน้น “ให้คนอยู่ได้กับป่า” ไม่ใช่ไล่คนออกจากป่า ซึ่งเป็นแนวคิดที่โลกวันนี้เรียกว่า Human-Nature Coexistence หรือ “การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลของมนุษย์และธรรมชาติ”
โดยการก่อตั้ง มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในพระบรมราชินูปถัมภ์ (The SUPPORT Foundation) เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2519 เพื่อพัฒนาอาชีพของประชาชนในชนบท โดยเฉพาะสตรีที่ขาดโอกาสทางการศึกษาและรายได้ ให้มีงานทำ มีศักดิ์ศรี และมีรายได้เลี้ยงครอบครัวอย่างมั่นคง
จากงานหัตถศิลป์พื้นบ้านที่เกือบสูญหาย พระองค์ทรงฟื้นฟูให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เกิดเป็นงานผ้าไหม ผ้าฝ้ายทอมือ เครื่องจักสาน เครื่องเงิน เครื่องปั้นดินเผา และศิลปะประยุกต์ที่งดงามจับใจ
“งานศิลปาชีพคือความภาคภูมิใจของคนไทย” พระองค์ตรัสไว้ และพระดำรัสนั้นยังคงก้องอยู่ในใจคนไทยทุกคน
ศูนย์ศิลปาชีพกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ ได้กลายเป็น รากเศรษฐกิจฐานรากของชาติ สร้างรายได้หมุนเวียนให้ชุมชน และส่งต่อภูมิปัญญาท้องถิ่นจากรุ่นสู่รุ่น



ทุกศูนย์ศิลปาชีพที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ไม่เพียงให้ “รายได้” แก่ชาวบ้าน แต่ยังให้ “รากชีวิต”
พระองค์ทรงส่งเสริมให้ประชาชนพึ่งพาตนเอง รู้จักใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างรู้คุณค่า
เกิดระบบเศรษฐกิจฐานรากที่มั่นคง เป็นต้นทางของแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง”
ที่ต่อยอดเป็น SDGs – Sustainable Development Goals ในวันนี้
ในทุกผืนผ้าที่แม่หลวงทรงฟื้นฟู ซ่อนอยู่ด้วยเรื่องราวของชีวิตและวัฒนธรรม ในทุกลายทอมีเสียงหัวใจของผู้หญิงไทย ที่ลุกขึ้นสู้ความยากจนด้วยศักดิ์ศรีและศิลปะ
จากนั้นจึงมีการก่อตั้ง ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (SACICT) ถือเป็น “สะพานแห่งศิลป์” ที่เชื่อมภูมิปัญญาชาวบ้านสู่ตลาดโลก ภายใต้แนวทาง Creative Economy ที่พระองค์ทรงวางรากไว้
วันนี้หลายชิ้นงานไทยได้รับการยอมรับในเวทีนานาชาติ ในฐานะ Sustainable Craft ที่งดงามและมีคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมระดับโลก
พระองค์ทรงเป็น “แม่แห่งสัตว์ป่า” ผู้เปี่ยมเมตตา ทรงก่อตั้งโครงการอนุรักษ์ช้างไทย
ช่วยเหลือควาญช้างและช้างป่าที่บาดเจ็บ รวมถึงโครงการอนุรักษ์นกเงือก ป่าชายเลน และสัตว์ป่าหายาก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด “สมดุลแห่งชีวิต” ที่ยึดโยงมนุษย์กับธรรมชาติไว้ด้วยกัน
พระองค์ทรงสนับสนุน “โครงการฟื้นฟูป่าต้นน้ำภาคเหนือ” โครงการอนุรักษ์ป่าชายเลนที่บางปูและชุมชนชายฝั่งภาคใต้ รวมทั้ง “โครงการพัฒนาอาชีพประมงพื้นบ้าน” ให้ชาวประมงสามารถจับปลาโดยไม่ทำลายระบบนิเวศ แนวคิดเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของแนวทาง ESG(Environment–Social–Governance) ที่ทุกองค์กรในยุคปัจจุบันนำมาใช้
พระองค์ทรงร่วมผลักดัน “โครงการแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร” เช่น ฝายต้นน้ำ เขื่อนขนาดเล็ก และระบบเก็บกักน้ำ เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้ตลอดปี เกิดความมั่นคงทางอาหาร และลดความเหลื่อมล้ำในชนบท
ผืนผ้าไทยคือภาษาที่พระองค์ทรงใช้สื่อสารกับโลก พระองค์ทรงทำให้ผ้าไหมไทยกลับมามีชีวิต
และได้รับการยอมรับในเวทีแฟชั่นระดับโลก จากรอยพระหัตถ์สู่รันเวย์แห่งศิลป์ จากผืนผ้าในหมู่บ้านสู่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ทุกเส้นไหมที่ขัดทอ สะท้อนสายใยระหว่าง “แม่กับลูก” ระหว่าง “ชาติและรากเหง้า” และระหว่าง “อดีตกับอนาคต”
พระราชกรณียกิจของพระองค์มิได้จำกัดเพียงด้านศิลปาชีพ แต่ยังครอบคลุมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ และสิ่งแวดล้อม พระองค์ทรงเชื่อว่ามนุษย์กับธรรมชาติต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างเกื้อกูล ทรงส่งเสริมการปลูกต้นไม้ ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และพัฒนาชีวิตชาวเขา
ให้เข้าใจคุณค่าของผืนป่าที่เลี้ยงพวกเขามา
พระราชหฤทัยที่อ่อนโยน แต่แน่วแน่ ทรงสร้างสมดุลระหว่าง “ความงามของวัฒนธรรม”
และ “ความอยู่รอดของชีวิต” ซึ่งเป็นแก่นแท้ของคำว่า “ยั่งยืน”
สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ไม่ได้หยุดอยู่เพียงยุคของพระองค์ แต่ได้กลายเป็น “ระบบนิเวศแห่งความยั่งยืน” ของชาติไทย ที่ต่อยอดสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) ไม่ว่าจะเป็น
พระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศไทยก้าวสู่ “เศรษฐกิจฐานรากยั่งยืน”
ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ ESG ในยุคใหม่
แม้พระองค์จะเสด็จสวรรคาลัย แต่พระราชกรณียกิจยังคงผลิบานอยู่ในใจของคนไทยทุกคน
ในผืนผ้าทอที่สะบัดพลิ้วดั่งมีชีวิต ทุกงานศิลป์ยังคงหายใจ ในกลิ่นดินของแปลงหัตถกรรม และในรอยยิ้มของผู้หญิงไทยที่มีอาชีพ มีศักดิ์ศรี มีความสุข ทุกหัวใจไทยยังเปี่ยมด้วยรักและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
พระองค์ทรงทิ้งไว้ซึ่ง “มรดกแห่งความดี” และ “แบบอย่างของการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่งดงามที่สุดในโลก”
“พระแม่แห่งแผ่นดิน” มิได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความรัก แต่คือแรงบันดาลใจให้โลกเห็นว่า ความยั่งยืนเริ่มจากหัวใจที่รักมนุษย์และผืนดินอย่างแท้จริง
สิ้นพระแม่แห่งแผ่นดินสยาม แต่ไม่สิ้นพระคุณแห่งความยั่งยืน รากที่พระองค์ปลูกไว้ ยังคงแตกหน่อเป็นป่าแห่งความดีงาม ให้ลูกหลานไทยได้อิงร่มเงาตลอดไป