
ทุกๆ 6 เดือน ทาง Dow Jones News Service จะทำการสำรวจความเห็นจากบรรดาผู้จัดการกองทุนและนักกลยุทธ์ทั่วสหรัฐ บทความนี้ จะขอนำผลสำรวจดังกล่าวเมื่อเดือนก่อนมาฝากกัน
ผลของ Money Poll ในรอบนี้ ปรากฏว่า ร้อยละ 47 ของนักลงทุนสถาบัน มั่นใจว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะมีความคึกคัก (Bullish) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 28% เมื่อช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ 34% มีมุมมองเป็นกลาง ที่เหลือ 19% มีมุมมอง Bearish กระนั้นก็ดี 57% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐมีมูลค่าสูงเกินกว่าความเป็นจริง เทียบกับเพียง 3% ที่เชื่อว่าตลาดหุ้นยังถูกกว่าความเป็นจริง
โดยผู้ที่มุมมอง Bullish เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะขึ้นต่อไปจนถึงสิ้นปีนี้ โดย ณ ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะขึ้นอีก 9-10.5% จากจุดนั้น เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของผลกำไรที่เพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียน
โดยเกือบ 38% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด เชื่อว่าอัตราส่วนกำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้น 6-10% จากระดับของปีนี้ ในขณะที่อีก 13% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด เชื่อว่าอัตราส่วนกำไต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% จากระดับของปีนี้
ส่วนเหตุผลที่ Bullish คือเชื่อว่า AI จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกในปัจจุบันได้ ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐก็วิ่งไปแล้วค่อนข้างแรงมาก จนเชื่อว่ามีความเสี่ยงที่มูลค่าของตลาดตอนนี้จะสูงเกินจริง
โดยค่าเฉลี่ยของการถือครองสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนอยู่ที่ หุ้น 73% หุ้นกู้หรือบอนด์ 17% และ เงินสด 6% โดย 2 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด รายงานว่าตนเองมีสัดส่วนของหุ้นต่อพอร์ตโดยรวมสูงกว่าเมื่อ 6 เดือนก่อน
อย่างไรก็ดี ในปีนี้ ไม่เพียงแต่ตลาดหุ้นสหรัฐเท่านั้นที่เป็นขาขึ้น ตลาดหุ้นอย่างยุโรปและญี่ปุ่น รวมถึงตลาดเกิดใหม่ อย่างจีนและบราซิลก็อยู่ในช่วงขาขึ้นเช่นกัน โดยเกือบ 60% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเพิ่มสัดส่วนหุ้นนอกสหรัฐในพอร์ตของตนเองในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา และเกือบ 40% มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนหุ้นนอกสหรัฐ ในระยะเวลา 12 เดือนถัดไป
ในช่วงที่หุ้นเป็นช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง มี 62% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ทำการลดสัดส่วนการถือครองหุ้นกู้หรือบอนด์ลง ทว่า 2 ใน 3 ของทั้งหมดบอกว่ามีความเห็นในเชิงบวกต่อทองคำ ทั้งนี้ ราคาทองคำได้ขึ้นไปกว่า 60% ในปีนี้ โดยมองว่าจะใช้เป็นสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อกระจายความเสี่ยง
อย่างไรก็ดี บรรดากลุ่ม Bearish เห็นความเสี่ยงที่เกิดจากการขึ้นอย่างร้อนแรงของราคาทองคำและระดับราคาหุ้นที่สูงมากเกินไป โดยกลุ่มนี้คาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะลดลง 8-13.5% จากนี้จนถึงสิ้นปี 2026 เมื่อกระแส AI เริ่มจางลงและความกังวลต่อเศรษฐกิจเริ่มมีผลต่อตลาด โดย 38% ของทั้งหมด เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะประสบกับตลาดเข้าสู่ภาวะหมี หรือลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงที่สุด ในช่วงอีก 12 เดือนถัดไป
ทั้งนี้ มองว่าหุ้นธีมที่เกาะกระแส AI ยุคเริ่มต้นดังเช่นในตอนนี้ อาจจะไม่ใช่ผู้ชนะในระยะยาว แม้ว่า AI จะมีผลต่อโลกของเราแบบถาวรดังเช่นอินเตอร์เน็ตในยุคที่ผ่านมา แม้ว่าหุ้นระดับชั้นนำแนว AI ในตอนนี้ จะมีธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่าในยุคปี 1999 ทว่าระดับมูลค่าถือว่าโดยส่วนใหญ่สูงกว่ามูลค่าในความเป็นจริงไปมากแล้ว
ทั้งนี้ มี 3 ความเสี่ยงหลัก จากการสำรวจ ได้แก่ เศรษฐกิจชะลอตัว, ตัวเลขผลกำไรบริษัทจดทะเบียนออกมาน่าผิดหวัง และความวุ่นวายทางการเมือง กระนั้นก็ดี 37% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด มองว่าอัตราการเติบโตของจีดีพีสหรัฐในปีหน้า จะอยู่ในช่วง 2-3% และอีก 25% มองว่าจะอยู่ที่ 1.5% ในปีหน้า
ด้านความนิยมต่อแผนเศรษฐกิจของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ดูจะไม่สวยหรูเท่าไร โดยเกือบ 2 ใน 3 ของทั้งหมดไม่เห็นด้วยต่อนโยบาย tariff และ 58% ให้เกรด C หรือ D ต่อนโยบายการคลังของทรัมป์ อย่างไรก็ดี มีบางส่วนมองว่า tariff ช่วยให้เกิดความยุติธรรมต่อระบบการค้าของสหรัฐและดีลการค้ากับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยุโรป และแคนาดา ถือว่าดูเป็นมิตรมากขึ้น รวมถึงบางส่วนเห็นด้วยต่อการใช้ไม้แข็งด้านการค้ากับจีน พร้อมๆกับการปิดดีลการค้ากับจีนได้
ด้านมุมมองต่อธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ส่วนใหญ่ ราว 57% ชื่นชอบต่อนโยบายเฟด โดยมี 34% มองว่านโยบายการเงินมีความตึงตัวมากจนเกินไป เมื่อเทียบกับ 6 เดือนที่ 70% ชื่นชอบต่อนโยบายเฟด โดยมี 23% มองว่านโยบายการเงินมีความตึงตัวมากจนเกินไป
สำหรับมุมมองต่อประธานเฟดท่านใหม่ ส่วนใหญ่อยากได้ คริสโตเฟอร์ วาลเลอร์ หรือ เควิน วอร์ช ทว่าประเมินว่า เควิน ฮาสเส็ต มีโอกาสเป็นมากที่สุดเนื่องจากเป็นหนึ่งในทีมงานของทรัมป์ในปัจจุบัน
สำหรับนโยบายการเงินในปีหน้า มองว่าผ่อนคลายลงค่อนข้างแน่ จากตลาดแรงงานที่แผ่วลง และอัตราเงินเฟ้อที่น่าจะชะลอลง โดยทั้งดอกเบี้ยที่ลดลงและนโยบายการคลังที่ผ่อนคลาย รวมถึงการผ่อนกฎเกณฑ์ต่างๆและการลดภาษีของรัฐบาลสหรัฐน่าจะช่วยให้นักลงทุนยังคงลงทุนอยู่ในตลาด แม้ว่าตลาดจะมีมูลค่าปัจจุบันที่สูง ทว่านโยบายต่างๆหากมาถูกทางก็น่าจะช่วยให้ตลาดสามารถไปต่อได้อีกสักพักดังเช่นในปี 1997
โดยส่วนใหญ่ของผู้สำรวจมองว่าแม้ตลาดหุ้นสหรัฐจะมีล้มเป็นพักๆ ทว่าตราบเท่าที่ความคาดหวังของผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังเพิ่มขึ้น สถานะด้านการเงินที่ไม่ตึงตัวเกินไป และรัฐบาลสหรัฐช่วยหนุนเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นสหรัฐยังน่าจะพออยู่ในช่วงขาขึ้นได้