KKP เผยปี 69 ตั้งเป้าสินเชื่อผู้ประกอบการอสังหาฯ อยู่ที่ 12,000 ล้านบาท ทรงตัวจากปีนี้ หลังผู้ประกอบการชะลอการเปิดโครงการใหม่ตามภาวะเศรษฐกิจ พร้อมประเมินภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปีหน้าติดลบ 6% แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัว-เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น นายวิศรุต ปัญญาภิญโญผล Real Estate Lending Head ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP เปิดเผยว่า ภาพรวมการให้สินเชื่อโครงการแก่ผู้ประกอบการในปี 2568 มีแนวโน้มลดลงตามสภาวะอุตสาหกรรม และ ภาพรวมการให้สินเชื่อโครงการแก่ผู้ประกอบการประมาณการถึงสิ้นปีน่าจะลดลงจากปี 2567 ประมาณ 20% ซึ่งทางธนาคารมองว่าเหมาะสมสอดคล้องกับสภาวะ เนื่องจากยอดสินเชื่อโครงการปล่อยใหม่เป็นการให้วงเงินเพื่อซื้อที่ดิน หรือ ก่อสร้างโครงการใหม่เป็นส่วนใหญ่ เมื่อปริมาณสินค้าคงเหลือในตลาดยังมีให้ดูดซับ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงชะลอการซื้อที่ดิน หรือ เปิดโครงการใหม่ ส่วนภาพรวมการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ปี 2568 อยู่ที่ 12,000 ล้านบาท ลดลงราว 20% จากปี 2567 ที่มีวงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะตลาด และ การชะลอตัวนี้สะท้อนพฤติกรรม ผู้ประกอบการที่ระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากสินเชื่อโครงการใหม่ส่วนใหญ่เป็นการให้วงเงินเพื่อซื้อที่ดิน หรือ การเริ่มพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งในภาวะที่ตลาดยังมีสต็อกคงเหลือจำนวนมาก ผู้ประกอบการจึงชะลอการซื้อที่ดินและเลื่อนการเปิดโครงการเพื่อบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับภาวะดีมานด์จริง "สินเชื่อปีนี้คาดไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้เดิม 15,000 ล้านบาท โดยตอนนี้ก็คาดว่าจะจบปีมากกว่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว และ ผู้ประกอบการอสังหาฯ ก็มีความระมัดระวัง ไม่ค่อยเปิดโครงการใหม่ ไม่ซื้อที่ดินเพิ่ม ทำให้ยอดขายหดตัวลง"นายวิศรุต กล่าว สำหรับ ทิศทางการปล่อยสินเชื่อปี 2569 คาดว่าจะทรงตัวจากปีนี้ ซึ่งนโยบายธนาคารยังสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นการเร่ง หรือ สวนกับภาพรวมของอุตสาหกรรม โดยที่ยังคงเน้นกับลูกค้าเก่าของธนาคาร ซึ่งวันนี้ผู้ประกอบการทั้งบริษัทมหาชนชั้นนำ และ เอสเอ็มอีที่มีประสบการณ์ในธุรกิจยาวนานเป็นลูกค้าจำนวนมาก ผู้พัฒนาโครงการกับธนาคารจะใช้วิธีเห็นด้วยตรงกัน ด้วยความใกล้ชิดของ Relationship Manager (RM) โดยธนาคารกับลูกค้าบวกกับข้อมูลตลาดที่ธนาคารมีในเชิงลึกลงไปถึงระดับทำเล และ รูปแบบสินค้า
อย่างไรก็ตาม แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการ สิ่งสำคัญที่อยากจะฝากไว้ในสภาวะการณ์นี้ คือ การคัดเลือกทำเล และ ออกแบบรูปแบบสินค้าให้ตรงกับกลุ่ม Demand และ อยากเพิ่มคำเป็นว่า "Demand เฉพาะ" เช่น ใกล้แหล่งงาน , ใกล้โรงเรียน , ใกล้ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ หรือ หากหาทำเล แบบที่ว่า ไม่ได้ก็ควรพิจารณาขนาดโครงการที่มีขนาดเล็กลงเพื่อควบคุมความเสี่ยงในการลงทุน 
นายกรทิพย์ พฤกษ์ประเสริฐดี นักวิจัยข้อมูลอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP เปิดเผยว่า แนวโน้มสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2569 ยังมีแนวโน้มที่ชะลอตัวต่อ จากปี 2568 แต่ในอัตราการชะลอตัวที่ลดลง หรือ ติดลบ 6% ซึ่งในส่วนของกำลังซื้อกลับมาอย่างช้าๆ ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงคาดว่าจะเริ่มกลับมา แต่จะยังคงเติบโตแบบช้าๆ มาตรการของรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเร่งภาคอสังหาฯของประเทศ ประกอบกับ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น การขยายเส้นทางรถไฟฟ้า การลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการแห่งใหม่ หรือ โครงการของภาคเอกชนที่กำลังก่อสร้าง จะช่วยทำให้เกิดการพัฒนาโครงการใหม่ๆ และ เพิ่มมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่รอบนอก โดยรูปแบบการพัฒนาโครงการจะเป็นรูปแบบที่โครงการมีขนาดเล็กลงมีจำนวนยูนิตน้อย เน้นกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่เน้นที่ขนาดแต่มุ่งเน้นที่คุณภาพ และ การใช้ประโยชน์ที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม ประกอบกับ บ้านเหลือในปี 2569 ขายจะมีแนวโน้มที่จะลดลงเหลือราว 207,998 ยูนิต หรือ ลดลง 6% ด้วย ในทางกลับกันจะมีบางพื้นที่ และ บาง Segment ที่มีโอกาสในการปรับตัวดีขึ้น ตลาดเฉพาะกลุ่ม และ ตลาดทดแทน ที่มียอดขายเติบโตขึ้นตามการพัฒนาเมืองนั้น คือ 1. โซนที่มีความคืบหน้าของรถไฟฟ้า (สายสีม่วงใต้, สายสีชมพู, สายสีส้ม) 2. โซนที่นิยมของชาวต่างชาติ (รัชดาฯ, ลาดพร้าว , สุขุมวิท, บางนา) หรือ ขยายไปในจังหวัดรองที่ได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยว (ภูเก็ต, ประจวบฯ) ที่มียอดขายที่ดี 3. โซนเฉพาะกลุ่มที่มีโรงเรียนนานาชาติ อาคารสำนักงาน โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้าที่เปิดใหม่ หรือ กำลังปรับปรุง พื้นที่บริเวณนั้นจะเกิดการขยายตัวของธุรกิจโดยรอบ และ สร้างยอดได้ต่างจากโซนอื่นๆ ทั้งนี้ ขณะเดียวกัน KKP มีประเด็นประเด็นการเฝ้าระวังในปี 2569 โดยที่กลุ่มบ้านทาวน์ในระดับราคา 2-3 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท ยังคงมีจำนวนยูนิตเหลือขายจำนวนประมาณ 115,000 ยูนิต หรือ ราว 57% ของจำนวนยูนิตเหลือขายทั้งหมด โดยกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ เช่น รังสิต-นครนายก , กรุงเทพ-ปทุมธานี , ลำลูกกา , คู้บอน-วงแหวน , บางนาตอนปลาย , บางบ่อ , ประชาอุทิศ , แสมดำ , เพชรเกษม , บางบัวทอง เป็นต้น ซึ่งอาจสงครามลดราคา การแข่งขันสูงขึ้น โครงการที่จะเปิดใหม่ในโซนดังกล่าวจะเป็นต้องพิจารณาในประเด็นนี้ด้วย อีกทั้ง กลุ่มบ้านเดี่ยวราคาสูง 25-50 ล้านบาท จำนวนยูนิตเหลือขายเพิ่มขึ้นมามากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และ อยู่ในระดับสูงถึง 3,000 ยูนิต ที่ต้องใช้เวลา 5-6 ปี ในการขาย และ ในปี 2569 ผลกระทบจากภาคส่งออกและธุรกิจเกี่ยวเนื่องจะกระทบกับผู้ประกอบการหลายรายในโซนอุตสาหกรรม และ จะส่งผลต่อยอดขายบ้านราคาสูงด้วย 
|