สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลงนามถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา ในวันนี้ (26 ต.ค.) โดยมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานอาเซียน ร่วมเป็นสักขีพยาน ในการประชุมสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ผู้นำไทยและกัมพูชาได้ลงนามในข้อตกลงปูทางสู่สันติภาพ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ครั้งที่ 13 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 47 หรือ ASEAN Summit 2025 โดยมีข้อความบนฉากหลังพิธีลงนามว่า "Delivering Peace" หรือ “ส่งมอบสันติภาพ” ซึ่งการลงนามในครั้งนี้เป็นการสานต่อข้อตกลงหยุดยิงที่ลงนามไปเมื่อสามเดือนก่อน ฮุน มาเนต กล่าวว่า "ถ้อยแถลงร่วมฉบับนี้ หากมีการดำเนินการอย่างสมบูรณ์ จะเป็นรากฐานสำคัญไปสู่การสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือจะเป็นการเริ่มต้นกระบวนการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของเรา ชุมชนชายแดนของเราถูกแบ่งแยกด้วยความขัดแย้ง พลเรือนผู้บริสุทธิ์ต้องทนทุกข์จากการสูญเสียครั้งใหญ่" ขณะที่สำนักข่าวอัลจาซีราเผยว่า นายอนุทินระบุว่า ประเทศไทยจะปล่อยตัวทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวไว้ 18 นาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ลงนามกับฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยในแถลงการณ์ นายกรัฐมนตรีไทยให้คำมั่นที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับกัมพูชา โดยทั้งสองประเทศมีความคืบหน้ามาไกลมากนับตั้งแต่การหยุดยิงในเดือนก.ค. และเสริมว่า ข้อตกลงที่ลงนามในวันนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อรากฐานสำหรับการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน ทางด้านนายโมฮาหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว กัมพูชาและไทยตกลงที่จะถอนอาวุธหนักออกจากบริเวณชายแดน และเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือทุ่นระเบิด ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เพิ่มเติมว่า จะมีการส่งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ไปยังชายแดนไทย-กัมพูชาเพื่อให้มั่นใจว่า มีการปฏิบัติตามแนวทางการหยุดยิง ทรัมป์กล่าวในพิธีลงนามว่า "นี่เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก เพราะเราได้ทำในสิ่งที่หลายคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ และเราได้ช่วยชีวิตผู้คนนับล้านด้วยข้อตกลงสันติภาพนี้" พร้อมทั้งแสดงความชื่นชมยินดีต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สำหรับการทำงานที่กล้าหาญซึ่งนำไปสู่การเห็นพ้องที่จะยุติความเป็นปฏิปักษ์ทั้งหมด และเดินหน้าทำงานเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในฐานะเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ย้อนไปเมื่อเดือนก.ค. ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เข้ามาเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งขณะนั้นมีการสู้รบที่รุนแรงเกิดขึ้น โดยทรัมป์ได้โทรศัพท์หาผู้นำของทั้งสองประเทศเพื่อกดดันให้ยุติความขัดแย้ง และขู่ว่า หากไม่ดำเนินการ จะระงับการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ 
การเจรจาการค้ากับจีน ขณะเดียวกัน คณะผู้เจรจาการค้าของสหรัฐฯ และจีนยังได้หารือนอกรอบ เพื่อหาทางคลี่คลายความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในสงครามการค้าระหว่างสองชาติเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยผู้เจรจาของสหรัฐฯ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ปูทางไปสู่กรอบการทำงานที่ประสบความสำเร็จ ก่อนที่การเจรจาระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน จะมีขึ้นที่เกาหลีใต้ในสัปดาห์หน้า ทรัมป์กล่าวว่า "ผมคิดว่า เรากำลังจะมีข้อตกลงกับจีน" ขณะที่ผู้เจรจาการค้าของจีนกล่าวว่า พวกเขาได้บรรลุ ฉันทามติเบื้องต้นแล้ว ทั้งนี้ การที่จีนสามารถควบคุมอุปทานแร่หายากของโลกได้อย่างเบ็ดเสร็จ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเจรจาครั้งนี้ ขณะที่สหรัฐฯ เองนั้นได้พยายามที่จะกระจายซัพพลายเชน เพื่อลดการพึ่งพาจีน นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้สรุปข้อตกลงการค้ากับสี่ประเทศภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังเดินทางถึงมาเลเซีย รวมถึงข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับแร่ธาตุสำคัญกับไทยและมาเลเซีย ท่ามกลางการแข่งขันกับจีนในภาคส่วนนี้ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ข้อตกลงการค้า มาเลเซียตกลงกับสหรัฐฯ ว่าจะละเว้นจากการห้าม หรือการกำหนดโควตาการส่งออกแร่ธาตุสำคัญหรือแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ตามแถลงการณ์ร่วมของทั้งสองประเทศ แต่ไม่มีการระบุรายละเอียดว่า การตกลงของมาเลเซียในครั้งนี้จะมีผลกับแร่หายากในรูปของวัตถุดิบ หรือแร่ที่ผ่านการแปรรูปแล้ว ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังประกาศข้อตกลงการค้าเพิ่มเติมกัมพูชา ขณะที่ทำเนียบขาวกล่าวว่าได้บรรลุข้อตกลงกับเวียดนาม ซึ่งจะเปิดทางให้ผู้ส่งออกของทั้งสองประเทศสามารถเข้าถึงตลาดของกันและกันได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำเนียบขาวยังระบุว่า สหรัฐฯ จะคงอัตราภาษีสำหรับสินค้าส่งออกส่วนใหญ่จากมาเลเซีย ไทย และกัมพูชา ในอัตราที่ 19% และยังคงอัตรา 20% สำหรับสินค้าส่งออกจากเวียดนาม ทรัมป์กล่าวกับผู้นำของภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากภาษีหนักสุดว่า "สิ่งที่เราต้องการจะส่งสารถึงชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือสหรัฐฯ จะอยู่เคียงข้างพวกคุณอย่างเต็มที่ และต้องการเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นไปอีกหลายชั่วอายุคน" นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้จัดการประชุมสั้น ๆ ร่วมกับประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา แห่งบราซิล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำโลกที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนในปีนี้ ซึ่งผู้นำบราซิลต้องการที่จะลดภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าลงจากอัตรา 50% ในปัจจุบัน ติมอร์ตะวันออกเข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 11 ขณะเดียวกัน ติมอร์ตะวันออกได้ก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกของสมาคมอาเซียน ลำดับที่ 11 อย่างเป็นทางการแล้ว และถือเป็นการบรรลุวิสัยทัศน์ที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันวางไว้เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ในช่วงที่ประเทศยังเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส ติมอร์ตะวันออก หรือติมอร์-เลสเตนั้น มีประชากร 1.4 ล้านคน เป็นชาติที่อายุน้อยที่สุดและนับเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในเอเชีย โดยติมอร์ได้ตั้งความหวังว่าจะได้ประโยชน์จากการนำประเทศเข้าร่วมเป็นสมาชิก โดยปัจจุบัน ติมอร์มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อยู่ที่ราว 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับขนาดเศรษฐกิจรวมของอาเซียนซึ่งอยู่ที่ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การเข้าร่วมเป็นสมาชิกของติมอร์ตะวันออกเกิดขึ้นหลังจากรอคอยยาวนานถึง 14 ปี ถึงแม้จะไม่ได้คาดหวังว่า การเป็นสมาชิกครั้งนี้จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ แต่ก็ถือเป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ สำหรับประธานาธิบดีโฮเซ่ รามอส-ฮอร์ตา และนายกรัฐมนตรี ซานานา กุสเมา ซึ่งเป็นวีรบุรุษของการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศ กุสเมากกล่าวในสุนทรพจน์ว่า "สำหรับประชาชนชาวติมอร์-เลสเต นี่ไม่ใช่แค่ความฝันที่เป็นจริงเท่านั้น แต่ยังเป็นการเครื่องยืนยันที่ทรงพลังถึงการเดินทางของเรา การเข้าร่วมของเราเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงจิตวิญญาณของประชาชน ความเป็นประชาธิปไตยที่เยาว์วัย ซึ่งถือกำเนิดจากการต่อสู้ของเรา" ที่มา Aljazeera และ Reuters 
|