ธนาคารกลางเกาหลี (BOK) รายงานว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้ขยายตัวในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปี โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 เติบโตเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยขยายตัวที่ 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่รอยเตอร์สำรวจไว้ที่ 1.5% หลังจากที่เศรษฐกิจในไตรมาส 2 เติบโตเพียง 0.6% ข้อมูลจากธนาคารกลางระบุว่า การเติบโตส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากการส่งออกและภาคการผลิต ซึ่งขยายตัว 6% และ 3.3% ตามลำดับเมื่อเทียบรายปี ขณะที่ภาคก่อสร้างเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดเศรษฐกิจ หดตัว 8.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดี ภาคการส่งออกสินค้าและบริการที่ขยายตัว โดยเฉพาะชิปเซมิคอนดักเตอร์และยานยนต์ เป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2024 และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) พบว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้ขยายตัว 1.2% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ของรอยเตอร์คาดไว้ที่ 0.9% ตัวเลข GDP ดังกล่าว มีขึ้นท่ามกลางการเจรจาการค้าระหว่างเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ ที่ยังคงมีข้อขัดแย้งในรายละเอียดสำคัญของข้อตกลง ซึ่งเกี่ยวข้องกับคำมั่นของเกาหลีใต้ที่จะลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประธานาธิบดีอี แจมยอง กล่าวว่า “สหรัฐฯ ย่อมต้องการผลประโยชน์สูงสุดของตน แต่ต้องไม่ถึงขั้นสร้างผลลัพธ์ที่เลวร้ายต่อเกาหลีใต้” 
ทั้งนี้ เกาหลีใต้ได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯ ยอมลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเกาหลีใต้ลงเหลือ 15% จากระดับ 25% ที่ประกาศก่อนหน้า ขณะที่เกาหลีใต้ ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประธานาธิบดีอี แจมยอง มีกำหนดพบกับประธานาธิบดีทรัมป์อีกครั้ง ระหว่างการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ในสัปดาห์นี้ ธนาคารกลางเกาหลีใต้ระบุในถ้อยแถลงว่า เศรษฐกิจยังคงอยู่ในทิศทางฟื้นตัว โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งและการส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า “ในอนาคต คาดว่าความต้องการภายในประเทศจะยังฟื้นตัวต่อไป โดยเฉพาะจากการบริโภค ขณะที่แนวโน้มการส่งออกยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจากภาคเซมิคอนดักเตอร์ แต่ผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกอาจเริ่มขยายวงกว้างขึ้น” ทั้งนี้ ธนาคารกลางเกาหลีใต้คาดว่า เศรษฐกิจจะเติบโต 0.9% ตลอดปี 2025 และ 1.6% ในปี 2026 ที่มา CNBC 
|