COCOCO เปิดงวด 9 เดือน ปี 68 มีกำไรอยู่ที่ 211.68 ล้านบาท ภายใต้ภาวะต้นทุนที่ผันผวน ตั้งเป้ามุ่งเน้นการบริหารต้นทุน พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้มีประสิทธิผลสูงสุด มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของรายได้ และ ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว คาดโรงงานในฟิลิปปินส์จะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 69 ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO เปิดเผยว่า บริษัทฯ รายงานผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรกปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,117.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.73% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 211.68 ล้านบาท โดยการเติบโตของรายได้มาจากแรงหนุนจากการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิ ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามกระแสรักสุขภาพ และ ความนิยมของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์ทางเลือกจากกะทิ และ อาหารเพื่อสุขภาพ อีกทั้ง ยังได้รับประโยชน์จากความชัดเจนของกฎระเบียบที่ส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์กะทิมีสถานะที่ได้เปรียบเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์นมแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการเติบโตของรายได้จากผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการขยายตลาดต่างประเทศในภูมิภาคหลัก ได้แก่ เอเชีย ยุโรป และ อเมริกา พร้อมทั้งเดินหน้าโครงการลงทุนผ่านบริษัทย่อยในประเทศฟิลิปปินส์ ภายใต้ชื่อ NOVOCOCONUT INC. เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและลดความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน โดยคาดว่า จะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2569 ทั้งนี้ แม้เผชิญภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับกระจายตลาดและฐานลูกค้า เพื่อรักษาการเติบโต 
" 9 เดือน ปี 68 มีกำไร 211.68 ล้านบาท เป็นผลมาจากต้นทุนขายที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบมะพร้าวที่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราว โดยยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรในระดับที่มั่นคงภายใต้ภาวะต้นทุนที่ผันผวน ซึ่งมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้มีประสิทธิผลสูงสุด และ การสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของรายได้และ ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว"ดร.วรวัฒน์ กล่าว สำหรับงวดไตรมาสที่ 3 ปี 2568 มีรายได้รวม 1,770.96 ล้านบาท โดยเป็นไปตามรายได้จากการขายและบริการในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าว ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 เท่ากับ 69.45 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าว และ การทดลองเดินเครื่องจักรใหม่ก่อนเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายบุคลากร และ การดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพภายในองค์กร เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งไตรมาสที่ 3 ปี 2568 บริษัทฯ มีต้นทุนขายและบริการลดลงมาอยู่ที่ 1,424.46 ล้านบาท โดยการปรับลดลงของต้นทุนขายและบริหารในไตรมาสนี้เป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบมะพร้าวที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง และ บริษัทฯ ควบคุมประสิทธิภาพการผลิตของกลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิได้ดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ มีปริมาณการผลิตของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิด Economy of Scale ช่วยให้ลดต้นทุนต่อหน่วย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และ อยู่ระหว่างบริหารความเสี่ยงต้นทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งลดผลกระทบในระยะยาวผ่านการลงทุนในโรงงานแห่งใหม่ในประเทศฟิลิปปินส์ 
|