สศค.เพิ่มเป้าจีดีพีปีนี้โต 2.4% จาก 2.2% อานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐหนุน ขณะที่ปี 69 คาดโต 2% จากท่องเที่ยว-บริโภคขยายตัวดี แต่มองส่งออกติดลบ นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สศค.ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2568 ของไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2.4% โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 1.9-2.9% จากเดิมคาด 2.2% ด้านปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายปี ขณะที่ในปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 2% โดยชะลอลงจากปีนี้ เนื่องจากมีการเร่งส่งออกในปีนี้ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ขยายตัวได้ดี 
สำหรับการส่งออกของไทยปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 10% ขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะติดลบ 1.5% ด้านการนำเข้าปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 10.1% ส่วนปีหน้าคาดว่าจะติดลบ 0.2% สำหรับการบริโภคภาคเอกชนในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 3% ปีหน้า 2.4% ด้านการบริโภคภาครัฐปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 0.8% และปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.6% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนปีนี้ และปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวได้ 1.7% ด้านการลงทุนภาครัฐปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 5.6% และปีหน้าคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 3% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้คาดว่าจะติดลบ 0.2% ลดลงจากประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากราคาพลังงานลดลงจากทั้งค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงตามนโยบายของภาครัฐ และราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวลดลง และปี 2569 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 0.8% และปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 0.6% “ในปีนี้ประเมินว่าการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดี จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เป็นสำคัญ เช่น คนละครึ่งพลัส ในช่วงไตรมาส 4/2568 และมูลค่าการส่งออกสินค้าที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 10% จากการเร่งส่งออกของภาคเอกชนตลอดทั้งปี โดยเบื้องต้นมองว่า เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัวได้ 1.8% เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่คาด 1.6%”นายวินิจ กล่าว ทั้งนี้ในการประมาณการเศรษฐกิจ ภายใต้สมมติฐานในการใช้ประมาณการ ประกอบด้วย 5 ด้าน ดังนี้ สมมติฐานที่ 1 คาดการณ์เศรษฐกิจ 15 ประเทศคู่ค้า โดยในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้เฉลี่ย 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากแรงหนุนของภาคการผลิตและบริการ รวมทั้งผลของแรงส่งจาก Front-Loading โดยแม้นโยบาย Reciprocal Tariff เริ่มมีผล และในปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักจะขยายตัวได้ 2.9% ต่อปี จากผลของมาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้าและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ยังได้แรงหนุนจากนโยบายการเงินผ่อนคลาย ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงหลักที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า 15 ประเทศ คือ การปรับนโยบายการคลังแบบขยายตัว หลายประเทศเศรษฐกิจหลัก ทิศทางนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น การกระจายห่วงโซ่อุปทานและการฟื้นตัวของการค้าโลก ขระที่ปัจจัยเสี่ยง เช่น ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า สถานการณ์ Government Shutdown ของสหรัฐฯ สมมติฐานที่ 2 ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2568 คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 32.9 บาทต่อดอลลาร์ โดยแข็งค่าขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 6.8% ขณะที่ในปี 2569 คาดว่าจะเฉลี่ยที่ 31.8 บาทต่อดอลลาร์ โดยแข็งค่าขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 3.2% สมมติฐานที่ 3 เรื่องราคาน้ำมันดิบดูไบ โดยในช่วงเดือนที่ผ่านมาปรับตัวลงเล็กน้อย ราคาน้ำมันล่าสุดอยู่ที่ 63.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำกว่าไตรมาส 3/2568 ที่ราคาน้ำมันดิบดูไบเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 66-72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และคาดว่าราคาในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า แนวโน้มราคาจะลดลงต่อเนื่อง จากปัจจัยอุปทานส่วนเกินเป็นหลัก โดยในปีนี้คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะเฉลี่ยอยู่ที่ 68.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และปีหน้าลดลงมาอยู่ที่ 59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สมมติฐานที่ 4 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยในช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวอินเดีย โดยในปีนี้ นักท่องเที่ยวมาเลเซียและจีน ยังคงเป็นนักท่องเที่ยวหลักที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทย ตามมาด้วยอินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย โดยคาดว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย 33.5 ล้านคน ชะลอลง 5.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สร้างรายได้ 1.56 ล้านล้านบาท ขณะที่ในปีหน้าคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 1.68 ล้านล้านบาท โดยปัจจัยที่สนับสนุน คือ การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน การกลับมาของตลาดจีนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ต้องติดตาม ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย ขณะที่ตลาดระยะไกลและมาตรการภาครัฐการฟื้นตัวของตลาดยุโรป-อเมริกา ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว และมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ เป็นต้น สมมติฐานที่ 5 เรื่องรายจ่ายภาคสาธารณะ โดยการบริโภคภาครัฐในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวได้ลดลง 2.2% จากประมาณการครั้งก่อนที่ขยายตัวได้ 2.9% โดยมีสาเหตุจากการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำของภาครัฐที่ปรับลดลงจากประมารการครั้งก่อน ขณะที่การบริโภคภาครัฐในปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.2% จากการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำของภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ด้านการลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้น 6.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุจากการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนของรัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ ขณะที่ปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.5% นายวินิจ กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายการคลังภายใต้แนวตคิด กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว หรือ Quick Big Win เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ดีขึ้นทั้งในระยะสั้นและยังคำนึงถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด เช่น นโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชนและ SMEs และการย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการกองนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงนั้น ประเมินว่า จะช่วยทำให้ การเงินของโลก เศรษฐกิจของโลกน่าจะดีขึ้น และผ่อนคลายมากขึ้น

|