BEM คาดไตรมาส 3/68 กำไรทำ New High จากผู้โดยสารทางด่วน - รถไฟฟ้า โตต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าขยายสัมปทานทางด่วน 22 ปี 5 เดือน สร้าง Double Deck หนุนลดค่าผ่านทาง ไม่เกิน 50 บาท แย้มสนใจร่วมประมูลสร้างมอเตอร์เวย์ M5-M9 นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 3/2568 คาดว่าจะทำกำไร New High อีกครั้ง และจะเพิ่มขึ้นทุกปี จากการเติบโตบนพื้นฐานธุรกิจที่มั่นคง ทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้า ช่วยหนุนรายได้ กำไร และกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง พร้อมแผนการขยายสัมปทานและลงทุนในโครงการใหม่ เพื่อต่อยอดการเติบโตในระยะยาว โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1.รายได้–กำไร จากธุรกิจทางด่วน–รถไฟฟ้า เติบโตต่อเนื่อง โดยธุรกิจทางด่วนของ BEM ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการเฉลี่ยกว่า 1.1 ล้านคัน/วันทำการ ยังคงเป็นฐานรายได้หลักที่มั่นคง ทำกำไร และกระแสเงินสดให้อย่างมาก ขณะที่ธุรกิจรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ปัจจุบันมีผู้โดยสารเฉลี่ยกว่า 520,000 คน/วันทำการ เป็นรถไฟฟ้าสายเดียวที่มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปริมาณสูงกว่าก่อนเกิดสถานการณ์ Covid-19 (ปี 2562) ซึ่งอีก 2 ปีข้างหน้าหลังเปิดสายสีส้มตะวันออกคาดว่าปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มเป็น 650,000 คน/วันทำการ โดยได้สั่งซื้อรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 21 ขบวนไว้รองรับแล้ว ส่วนรายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันมีประมาณ 1,200 ล้านบาท/ปี จะโตขึ้นอีกกว่า 20% สอดคล้องกับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจรถไฟฟ้ามีการเติบโตสูง ต่อเนื่อง และมั่นคงในระยะยาวจากสัมปทานที่เหลืออีกกว่า 25 ปี นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) รถไฟฟ้าสายสีม่วงอีกกว่า 2,200 ล้านบาท/ปี รวมถึงรายได้ในอนาคตจากรถไฟฟ้าสายสีส้มที่จะเปิดให้บริการปลายปี 2570 (ส่วนตะวันออก) และทั้งสายในปี 2573
 2. Fitch Ratings จัดอันดับ A(tha) แนวโน้ม Stable ลดต้นทุนทางการเงิน โดย BEM ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในประเทศระยะยาวจาก Fitch Ratings ที่ระดับ A(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ (Outlook Stable) สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพของบริษัท จากสัมปทานที่มั่นคงในระยะยาว สร้างรายได้และกำไรที่โตต่อเนื่อง โดยคาดว่าต้นทุนทางการเงินทั้งในส่วนของสินเชื่อจากธนาคาร และหุ้นกู้ จะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญตั้งแต่ ปี 2569
3. เดินหน้าขยายสัมปทาน สร้าง Double Deck และลดค่าผ่านทาง นับเป็นอีกหนึ่งความคืบหน้าสำคัญของ BEM คือ การขยายสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 และทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด เพื่อสร้างโครงการ Double Deck จากงามวงศ์วาน-พระราม 9 และลดค่าทางด่วนในเมืองเหลือไม่เกิน 50 บาท (จากเดิม 90 บาท) นั้นมีความชัดเจนแล้ว อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติตาม พรบ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 คาดว่าจะลงนามสัญญาได้ภายในธันวาคม 2568 อย่างไรก็ดี การลดค่าผ่านทางนั้น ไม่กระทบกับรายได้ เพราะจะมีการปรับส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางในเมืองเพื่อชดเชยให้แก่ BEM จากเดิม มีส่วนแบ่งรายได้ (กทพ.:BEM) 60:40 เป็น 50:50 ส่วนการลงทุนสร้าง Double Deck กว่า 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาจราจร แลกกับการขยายสัมปทานออกอีก 22 ปี 5 เดือน คาดว่าหลัง Double Deck ให้บริการ รถจะติดน้อยลง ส่งผลให้ปริมาณผู้ใช้ทางเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% ทำให้มีสัมปทานที่คุณภาพ มีความมั่นคงยาวนานขึ้น BEM ยังมีโอกาสทางธุรกิจที่จะเติบโตอีกมาก จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ที่ขณะนี้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จ้าง BEM เดินรถส่วนเหนืออยู่ คาดว่ารัฐบาลจะอนุมัติให้ รฟม.เจรจากับ BEM ให้เดินรถต่อเนื่องภายในต้นปี 2569 เพื่อทันกับงานก่อสร้างที่จะแล้วเสร็จในอีก 3 ปี และยังมีโครงการทางหลวงพิเศษ M5 ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข (รังสิต-บางปะอิน) และ M9 ทางยกระดับสายวงแหวนรอบนอก กทม. (บางขุนเทียน -บางบัวทอง) ซึ่ง BEM ให้ความสนใจจะเข้าร่วมการประมูลอย่างแน่นอน 
|