AJA เซ็น MOU พันธมิตรด้านเทคโนโลยีจีน ร่วมลงทุนพัฒนาและผลิตยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานใหม่ พร้อมสร้างเครือข่ายสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่อัจฉริยะ มูลค่า 1.43 หมื่นลบ. หวังรองรับผู้ใช้บริการได้มากถึง 500,000 คน พร้อมผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ของประเทศไทย เพื่อเป็นองค์กรต้นแบบในภาคการขนส่ง พลังงานใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายพิชัย ปัญจสังข์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AJA เปิดเผยว่าบริษัทได้เดินหน้าประกาศจัดตั้ง “พันธมิตรอุตสาหกรรมพลังงานใหม่” และ “สถาบันวิจัยอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ประเทศไทย” พร้อมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับ พันธมิตรด้านเทคโนโลยีชั้นนำจากประเทศจีน เพื่อร่วมลงทุนพัฒนาและผลิตยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานใหม่ของไทย พร้อมสร้างเครือข่ายสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่อัจฉริยะ สร้างกลไกความร่วมมือที่มั่นคงระยะยาวระหว่างอุตสาหกรรมไทย-จีน นำเข้าเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสร้างระบบนวัตกรรมเทคโนโลยีของประเทศ

โดยโครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนรวมสูงถึง 14,300 ล้านบาท รองรับผู้ใช้บริการได้มากถึง 500,000 คน มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่งต่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศการยกระดับอุตสาหกรรม และการควบคุมการปล่อยคาร์บอน ขณะที่ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของ บมจ. เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี ในการเสริมศักยภาพการผลิตและเทคโนโลยีด้านระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า โดยได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรจีนผู้เชี่ยวชาญด้านแบตเตอรี่ลิเธียมและการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนของไทย อำนวยประโยชน์ทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไทย อาทิ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมือง ยกระดับภาพลักษณ์เมือง สร้างเมืองอัจฉริยะและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการเปลี่ยนให้เป็นพลังงานสีเขียวในไทย สร้างตำแหน่งงานให้คนไทยได้มากกว่า 12,000 ตำแหน่ง ช่วยลดต้นทุนการเดินทางของประชาชน เนื่องจากยานยนต์ไฟฟ้ามีต้นทุนการใช้งานน้อยกว่ารถใช้น้ำมัน “การลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรจีนในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ AJ EV ในการขยายศักยภาพสู่ระดับภูมิภาค เราไม่เพียงผลิตยานยนต์ไฟฟ้า แต่เรากำลังสร้างระบบนิเวศพลังงาน สะอาดของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน” นายพิชัย กล่าว นายพิชัย กล่าวต่อว่าสำหรับ AJ EV มุ่งหน้าพัฒนาระบบเปลี่ยนแบตเตอรี่ ให้สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคชาวไทย โดยจะร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการติดตั้งสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ในพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ แก้ปัญหาความยุ่งยากในการชาร์จไฟ เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน และขยายโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย เช่น บริการเดลิเวอรี หรือผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารับจ้าง ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ความร่วมมือนี้ไม่เพียงสร้างผลดีเฉพาะภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสเชิงกลยุทธ์ให้ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าและมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในประเทศโดยตรง ช่วยให้สามารถนำเสนอราคาที่เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น เพราะต้นทุนด้านนำเข้าและโลจิสติกส์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด สินค้ามาถึงมือเร็วขึ้นบริหารสต็อกได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม ผู้จัดจำหน่ายสามารถนำเสนอรุ่นที่ทันสมัยและคุ้มค่ากว่าในตลาด ช่วยเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม AJ EV ได้บูรณาการพลังงานหมุนเวียนอย่างพลังงานแสงอาทิตย์เข้ากับระบบไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อใช้ในการผลิตและชาร์จมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอน แต่ยังช่วยให้ประเทศสามารถกระจายการผลิตพลังงานได้ทั่วถึงเพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน และลดความเสี่ยงจากวิกฤตราคาน้ำมันโลกทั้งยังสอดคล้องกับเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลไทยในการเป็นประเทศคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และมุ่งสู่ Net Zero Emission ภายในปี 2065 นอกจากนี้โครงการจัดตั้งพันธมิตรอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ของ AJ EV นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ของประเทศไทย เป็นประโยชน์อย่างยิ่งทั้งต่อการขับเคลื่อนประเทศต่อการพัฒนาภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย และต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตสังคมไทย ต่อประเทศ : ลดการพึ่งพาพลังงานนำเข้าปรับปรุงโครงสร้างพลังงานให้เหมาะสม สนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutral และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ต่ออุตสาหกรรม : ยกระดับความสามารถด้านเทคโนโลยีอย่างรอบด้านสร้างความเป็นผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์ ต่อสังคม : ลดการปล่อยคาร์บอนสร้างงานกว่า 12,000 ตำแหน่ง ประหยัดค่าใช้จ่ายการเดินทางของประชาชนได้ถึง 1,500 ล้านบาทต่อปี
การผสานนโยบายภาครัฐการลงทุนภาคเอกชน และการมีส่วนร่วมของประชาชนจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่นำประเทศไทยก้าวสู่ “สังคมพลังงานสะอาด” อย่างมั่นคงและยั่งยืน |