ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียระบุว่า ข้อเสนอของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ สำหรับการยุติสงครามในยูเครนอาจเป็นพื้นฐานของข้อตกลงในอนาคตได้ แม้ยังไม่มีร่างฉบับสุดท้าย แต่ส่งสัญญาณเปิดกว้างต่อการเจรจา ผู้นำรัสเซียกล่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดขององค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (Collective Security Treaty Organization - CSTO) ว่า “โดยภาพรวม เราเห็นว่า สิ่งนี้สามารถใช้เป็นพื้นฐานของข้อตกลงในอนาคตได้ แต่คงไม่เหมาะสมหากจะให้พูดถึงร่างข้อตกลงฉบับสุดท้าย เพราะตอนนี้มันยังไม่มี” รัสเซียยืนยันว่า สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนกรุงมอสโกในสัปดาห์หน้าเพื่อพบปะกับประธานาธิบดีปูติน ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เร่งผลักดันแผนยุติสงครามรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งดำเนินมานานเกือบ 4 ปี โดยประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า “มีความคืบหน้าอย่างมากในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ร่างเดิมของข้อเสนอฉบับนี้จะสร้างความไม่พอใจให้แก่ยูเครนและผู้นำชาติยุโรปก็ตาม 
ประธานาธิบดีปูตินกล่าวว่า ตามที่เขาได้รับทราบ แผน 28 ข้อเดิมถูกยูเครนและสหรัฐฯ ปรับโครงสร้างใหม่เป็น 4 ส่วนในระหว่างการหารือที่นครเจนีวา ซึ่งอาจเป็นฐานในการเจรจาได้ ขณะที่สหรัฐฯ และยูเครนระบุว่าแผนดังกล่าวถูกปรับเหลือ 19 ข้อ “โดยรวมแล้ว เราเห็นว่าฝ่ายสหรัฐฯ คำนึงถึงจุดยืนของเรา ซึ่งมีการหารือทั้งก่อนและหลังการพบกันที่เมืองแองเคอเรจและอลาสกา” พร้อมย้ำว่า “เราจำเป็นต้องนั่งลงเจรจาอย่างจริงจังในบางประเด็น และต้องเรียบเรียงทุกอย่างออกมาเป็นภาษาทางการทูต” ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีปูตินยังออกมาปกป้องวิตคอฟฟ์ หลังมีรายงานว่าผู้แทนสหรัฐฯ รายนี้ ให้คำแนะนำแก่ยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีปูติน ระหว่างการโทรศัพท์เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ว่าควรหยิบยกประเด็นแผนสันติภาพกับประธานาธิบดีทรัมป์อย่างไร โดยประธานาธิบดีปูตินชื่นชมวิตคอฟฟ์ว่า เป็นคนฉลาด สุภาพ และมองว่าการสนทนาระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 เป็นเรื่องปกติ “วิตคอฟฟ์กำลังจะมากรุงมอสโกในฐานะผู้แทนของประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อเจรจากับเรา มันคงแปลกมากถ้าเขาพูดคุยกับอูชาคอฟด้วยการด่าทอเรา” พร้อมเสริมว่า วิตคอฟฟ์กำลังพยายามรีเซ็ตความสัมพันธ์สหรัฐฯ–รัสเซีย ทั้งนี้ ประธานาธิบดีปูตินยังกล่าวถึงมาตรการคว่ำบาตรล่าสุดของสหรัฐฯ ที่พุ่งเป้าใส่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซียว่า เป็นสัญญาณว่าสหรัฐฯ ยังคงปกป้องผลประโยชน์ของตนเองอยู่เช่นเดิม ที่มา Bloomberg

|